สภาพัฒน์ฯ จ่อปรับเส้นความยากจน ปูทางใช้ “ภาษีรายได้ติดลบ” ปี 2570 พร้อมสะท้อนภาพปัญหาเศรษฐกิจไทย

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

สภาพัฒน์ฯ จ่อปรับเส้นความยากจน ปูทางใช้ “ภาษีรายได้ติดลบ” ปี 2570 พร้อมสะท้อนภาพปัญหาเศรษฐกิจไทย

Date Time: 18 ส.ค. 2568 14:23 น.

Video

กลาง ธ.ค.ลุ้น! ฝนถล่มภาคใต้รอบใหม่ น้ำลดรอบนี้ต้องรีบทำอะไร? | Thairath Money Night Stand EP.26

Summary

เศรษฐกิจไทยต้องรอ 2-3 ปี กว่า GDP จะกลับมาโต 3% สภาพัฒน์ฯ จ่อปรับเส้นความยากจน ปูทางใช้ “ภาษีรายได้ติดลบ” ปี 2570

Latest


เศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำให้การขยายตัวของ GDP ต่ำกว่าศักยภาพ ความสงสัยว่าเมื่อไหร่เศรษฐกิจจะกลับมาโตที่ระดับ 3% นั้น ล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เผยว่า เราอาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี 

“ดนุชา พิชยนันท์” เลขาธิการสภาพัฒน์ เผยว่า แม้เศรษฐกิจไทย ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ยังขยายตัวได้ 2.8% และแนวโน้ม การส่งออก การลงทุนภาคเอกชน รวมไปถึง ภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวดีขึ้นตามการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว จนดันให้ครึ่งปีแรก GDP ไทย เติบโต อยู่ที่ 3% 

แต่ช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม  เช่น ภาระหนี้ภาคเอกชน ที่ยังอยู่ในระดับสูง และ มาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวดต่อเนื่อง  รวมไปถึง ปัจจัยลบ อย่าง การชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยว จากคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดต่ำลง จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยว ณ ไตรมาส 2  ลดลงถึง 12% และนักท่องเที่ยวชาวจีน ยังมีแนวโน้มไม่กลับมา

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความผันผวนของราคาและผลผลิตภาคเกษตร เรื่อยไปจนถึง ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจภาพใหญ่ ที่อาจเกิดจากการทวีความรุนแรงของมาตรการกีดกันทางการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ 

อย่างไรก็ดี มีปัจจัยบวก ในแง่ การบริโภคของภาคเอกชน ท่ามกลางอัตราการว่างงาน และ อัตราเงินเฟ้อ และ ดอกเบี้ยนโยบายต่ำลง ส่งผลให้ แนวโน้ม การลงทุนในภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น สภาพัฒน์ฯ จึงปรับคาดการณ์ GDP ปี 2568 จาก 1.3-2.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 1.8%)  มาอยู่ที่ ขยายตัว 1.8–2.3% (ค่ากลางราว 2.0%)

ภายใต้สมมุติฐาน เศรษฐกิจโลกปี 2568 ขยายตัว 3% (ปรับขึ้นมาจาก 2.6%) และปริมาณการค้าโลกขยายตัว จาก 1.8% เป็น 2.7%  แต่ประมานการณ์ GDP ดังกล่าว สภาพัฒน์ ยังไม่ได้ มีการนำปัจจัยทางการเมือง เข้ามาเป็นสมมุติฐานร่วมด้วย ท่ามกลาง ปมร้อน และคดีต่างๆของนายกรัฐมนตรี

แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่า ต่อให้มี อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้น คงมีผลต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากนัก เนื่องจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ที่เป็นตัวแปรฝั่งการบริโภคภาครัฐ ผ่านขั้นตอนสำคัญเรียบร้อยแล้ว 

ยอมรับเศรษฐกิจไทย โตต่ำกว่าศักยภาพ ติดกับดักเชิงโครงสร้าง 

ย้อนกลับมาที่ ตัวเลข GDP ไทย ที่ค่ากลาง 2% แม้จะเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบกับการค้าโลกที่ผ่อนคลาย ไปในทิศทางที่ดีขึ้น และตัวเลข GDP ของกลุ่มประเทศเดียวกัน ต้องถือว่า การเติบโตของไทยอยู่ในระดับต่ำ 

เรื่องนี้ เลขาธิการสภาพัฒน์ ยอมรับว่า เศรษฐกิจไทย ณ เวลานี้ อยู่ในจุดที่เติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งแต่ละปี ควรเติบโตไม่ต่ำกว่า 3% ซึ่งมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน สืบเนื่องมาจาก ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทย มีปัญหาในเชิงโครงสร้าง เพราะฉะนั้น การจะทำให้ GDP ขยายตัวได้ 3% ต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ ทั้งภาครัฐ และ เอกชน กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ การขยายภาคการผลิต ไปยังอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่โลกต้องการ เพื่อดึงดูด ทั้งการลงทุนใหม่ และผลักดันการส่งออกให้สูงขึ้น แต่เรื่องนี้ ต้องใช้เวลา อย่างน้อย 2-3 ปี ถึงจะเห็นผลลัพธ์ 

อย่างไรก็ดี มองอีกด้าน การที่สหรัฐ ผลักดันการใช้ อัตราภาษีนำเข้า (Reciprocal Tariff) กลายเป็นบทเรียน ,โอกาส และแรงกดดัน ให้ไทยเร่งปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน นำตัวเองฉีกออกจากสินค้าเดิมๆ ซึ่งจะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้ 

ขณะเดียวกัน ไทยเราก็ต้องปรับปรุง ศักยภาพของแรงงานไทย ในสาขาต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และปรับกระบวนการผลิต ใช้หุ่นยนต์ เครื่องจักร เพื่อลดต้นทุน ให้มากขึ้น โดยทั้งหมดนั้น ยกให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องทำงานร่วมกัน ผลักดันสิ่งใหม่ๆ ในเซกเตอร์หลักๆ ซึ่งนอกจาก ต้องให้ความสำคัญในภาคอุตสาหกรรมแล้ว “ภาคการเกษตร” ขนาดเศรษฐกิจ และใช้แรงงานจำนวนมาก ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้สินค้าเกษตรของไทยในเวทีโลก มีคุณภาพ มากกว่า “ปริมาณ” 

สภาพัฒน์ฯ เตรียมปรับเส้นความยากจน รับแนวคิดคนไทยทุกคนต้องยื่นภาษี 

ในการแถลงดังกล่าว เลขาธิการสภาพัฒน์ ยังกล่าวถึง การที่กระทรวงการคลัง เตรียมนำแนวคิด ภาษีเชิงลบ (Negative Income Tax) ให้คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน มาเป็นเครื่องมือปฏิรูประบบภาษีและสวัสดิการ คาดเริ่มใช้ ปี 2570 

ว่าขณะนี้ สภาพัฒน์ กำลังปรับปรุง เส้นความยากจน (Poverty Line) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับความยากจนของคนในประเทศไทย โดยพิจารณาจากรายได้ต่อเดือนของบุคคล หากรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จะถือว่าเป็นผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ควรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด จากระดับล่าสุด 3,043 บาท/คน/เดือน (ปี 2566) ให้สะท้อนสภาพจริงมากขึ้น

ซึ่งคาดว่า จะนำส่งสูตรการคำนวณ และชุดข้อมูลประชากรทั้งหมดให้กับกระทรวงการคลัง ได้อย่างช้าต้นปี 2569 เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการดำเนินเดินหน้าภาษีรายได้ติดลบ ซึ่งจะทำให้ “คนไทยทุกคนต้องยื่นภาษี” และผู้มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จะได้รับเงินสนับสนุนกลับคืนจากรัฐ คาดเริ่มใช้ปี 2570 


ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney




Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ