
หลังจากเศรษฐกิจไทยปี 2568 ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อเนื่องตลอด 7 เดือนแรกของปีงูเล็ก
เริ่มจากเหตุการณ์ที่สะเทือนการท่องเที่ยวไทย การลักพาตัวนักแสดงจีนของแก็งคอลเซ็นเตอร์ ในตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค.รับปีใหม่ ต่อเนื่องด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหว ตึก สตง.ถล่ม ในช่วงเดือน มี.ค. ที่เป็นตัวซ้ำเติมความเชื่อมั่น ตามมาด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือน เม.ย. และเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคเหนือ ในช่วงเดือน พ.ค.และต่อเนื่องมาจนถึงเดือน ก.ค. ที่กำลังมีผลกระทบกระเทือนภาคเศรษฐกิจจริงของไทยอย่างรุนแรง
และสถานการณ์ล่าสุด จากความขัดแย้ง และการปะทะที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย และกัมพูชา ในช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีคำถามว่า นับจากวันนี้ประมาณกลางๆ เดือน ส.ค.ไปจนถึงสิ้นปี อีกประมาณ 4 เดือนกว่า เศรษฐกิจไทยจะเจอกับอะไรอีกบ้าง
ที่แน่ๆนอกจากการติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่ยังไว้ใจไม่ได้ ยังต้องติดตามการเจรจากับสหรัฐฯรอบ 2 ที่จะลงรายละเอียด กฎเกณฑ์ รายการสินค้าที่เราจะยอมให้สหรัฐฯนำเข้าและลดภาษีเป็น 0% ว่าจะกระทบกับภาคการผลิต ส่งออก เกษตรกรไทย เพิ่มเติมจากภาษีสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ 19% อีกมากน้อยแค่ไหน
และอีกไม่กี่วันนี้จะต้องจับตา “เสถียรภาพทางการเมือง” ของไทยที่กำลังเข้าสู่จุดอันตรายอีกครั้ง จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดวันไต่สวนพยานแล้วในวันที่ 21 สิงหาคม และได้นัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมนี้
ผลลัพธ์ที่ออกมาจะชี้ชะตา “ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน” ว่าจะได้ไปต่อ หรือจะต้องมีการเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า หากคำตัดสินออกมาในอีกทางหนึ่ง
การขาดความเชื่อมั่นจากหลายๆเหตุการณ์ที่ทั้งเกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นในประเทศ มีผลชัดเจนต่อการท่องเที่ยว ทั้งในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องไปในช่วงที่เหลือของปี โดยหลายๆสำนักคาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวไทยปีนี้อาจจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน รายได้ที่ยังไม่เพิ่มขึ้นจากช่วงโควิด บวกบรรยากาศที่ซบเซา ขาดความเชื่อมั่นทำให้ “คนไทย” จำนวนมากไม่มีอารมณ์ที่จะใช้จ่าย กำเงินสด ประหยัดอดออมไว้เผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความคิดเห็นจากภาคธุรกิจ ยังมีความหวังว่าหากไม่มีสถานการณ์อื่นซ้ำเติมให้เลวร้ายไปกว่านี้ เศรษฐกิจเริ่มปรับโครงสร้างรับภาษีใหม่ ในช่วงเดือน ธ.ค.ไปจนถึงขึ้นปีใหม่ปี 2569 เราอาจจะเห็นความคึกคักของการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายในประเทศกลับมาคึกคักได้
และเมื่อถามว่า “กำลังซื้อ” คนไทยยังมีอยู่หรือไม่ กูรูการเงินให้รอดูเวลามี “โทรศัพท์รุ่นใหม่” โดยเฉพาะยี่ห้อผลไม้ออกขาย หากยอดตก คนไม่ซื้อ ผ่อน 0% ยังช่วยไม่ได้ จุดนั้นน่าจะเป็น “เวลาแห่งความหนักใจ” ของผู้ประกอบการ.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม