ไขข้อข้องใจ "จบหรือยัง" ภาษีทรัมป์ 19% เจาะลึกเงื่อนไขการเจรจายก 2 "ใครได้ใครเสีย"

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ไขข้อข้องใจ "จบหรือยัง" ภาษีทรัมป์ 19% เจาะลึกเงื่อนไขการเจรจายก 2 "ใครได้ใครเสีย"

Date Time: 18 ส.ค. 2568 04:58 น.

Summary

“บทสรุป” ที่เหมือนยังไม่มี “ข้อสรุป” ชัดเจนนี้ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝั่งผู้ส่งออก ผู้ประกอบการสัญชาติไทย เกษตรกร ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมทั้งประชาชนคนไทย เกิดคำถามต่อเนื่องมากมายว่า การเจรจาในยก 2 นี้ จะสร้างผลกระทบทั้งด้านดี และด้านร้ายต่อแต่ละภาคส่วนมากน้อยอย่างไร

Latest

“สกพอ.” วางเดิมพันยุทธศาสตร์ “อีอีซี” ปักธง 5 ปี ผลิตแรงงานทักษะฝีมือสูงป้อนนักลงทุน

หลังจากการเจรจาที่ยาวนาน นับตั้งแต่สหรัฐฯประกาศเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เพื่อสร้าง “ความสมดุล” และ “ความเป็นธรรม” ให้กับการค้าของสหรัฐฯกับทุกประเทศทั่วโลก เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา และต่อมาได้ขยายเวลาเส้นตายการปรับขึ้นภาษีมาหลายระลอก

ในที่สุดประเทศไทยก็สามารถปิดดีลเจรจาภาษีตอบโต้ได้ที่อัตรา 19% ดีกว่าอัตราที่ประกาศครั้งแรก 36% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 ที่ผ่านมา แต่กระนั้นก็ยังไม่ถือว่าการเจรจาครั้งนี้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์

เพราะข้อตกลงดังกล่าว เป็นเพียง “การเห็นชอบร่วมกันในหลักการ” เพื่อเริ่มต้นเจรจาเจาะลึกในรายละเอียดประเด็นที่สหรัฐฯเรียกร้องจากไทย และประเด็นที่ไทยเสนอกลับไปให้สหรัฐฯ เมื่อใดที่การเจรจาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้ง 2 ฝ่าย จึงจะจัดทำ “ความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ไทย-สหรัฐฯ” หรือ Agreement on Reciprocal Tariff และลงนามร่วมกัน เมื่อนั้น “ความตกลงนี้” จะมีผลบังคับใช้ และมีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ

โดยขณะนี้ไทยกำลังรอการนัดหมายจากฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อเจรจารายละเอียดกันต่อไป และระหว่างนี้ “ทีมไทยแลนด์” ก็ใช้เวลาหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อเตรียมข้อมูลในแต่ละประเด็นให้พร้อมที่สุด ซึ่งล่าสุด สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้นัด เจรจาทางเทคนิคในระดับเจ้าหน้าที่กับไทยแล้ว ช่วงปลายเดือน ส.ค.68 และต้นเดือน ก.ย.68

“ทีมไทยแลนด์” ยืนยันว่าจะเจรจาโดยคำนึงถึง ผลประโยชน์ของประเทศ และคนไทยเป็นที่ตั้ง แม้ยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะได้ข้อสรุปทั้งหมดเมื่อไร แต่น่าจะไม่ต่ำกว่า 2–3 เดือน

“บทสรุป” ที่เหมือนยังไม่มี “ข้อสรุป” ชัดเจนนี้ ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝั่งผู้ส่งออก ผู้ประกอบการสัญชาติไทย เกษตรกร ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมทั้งประชาชนคนไทย เกิดคำถามต่อเนื่องมากมายว่า การเจรจาในยก 2 นี้ จะสร้างผลกระทบทั้งด้านดี และด้านร้ายต่อแต่ละภาคส่วนมากน้อยอย่างไร ไทยจะนำเข้าสินค้าเกษตรอ่อนไหว อย่างเนื้อหมู ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองจริงหรือไม่ สินค้าไทยเสียภาษีนำเข้าอัตราเท่าไรแน่ และจะถูกเก็บ 40% ในกรณีสินค้าผ่านทางเหมือนเวียดนามหรือไม่

และท้ายที่สุด แม้ว่าจะมีความพยายามเจรจาเพื่อให้ประเทศไทยเสียประโยชน์น้อยที่สุด แต่จะต้องมีคนไทย เกษตรกรไทย และผู้ประกอบการได้รับผลกระทบ รัฐจะมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างไร “ทีมเศรษฐกิจ” ได้สอบถามทีมไทยแลนด์ เพื่อไขข้อข้องใจในประเด็นเหล่านี้

ถาม : ณ วันนี้ “สินค้าไทย” ไปสหรัฐฯเสียภาษีเท่าไร?

ตอบ : ก่อนการประกาศเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ สินค้าส่วนใหญ่ที่ส่งออกจากไทย ถูกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์

ยิ่ง (MFN) เฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% หรือเฉลี่ยไม่เกิน 10% ขณะที่บางสินค้าไม่เสียภาษีนำเข้า โดยเฉพาะสินค้าที่ซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และมีมูลค่าขั้นต่ำไม่เกิน 800 เหรียญสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯยกเว้นเก็บภาษีให้ตามกฎเกณฑ์ De Minimis หรือมีมูลค่าขั้นต่ำไม่เกินที่กำหนด

แต่หลังจากประกาศภาษีตอบโต้ 19% แล้ว สินค้าไทยที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา จะต้องบวกภาษีตอบโต้อีก 19% เข้าไปกับอัตราภาษี MFN ทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 22–24% เช่นเดียวกับสินค้าซื้อขายผ่านออนไลน์ จะถูกเก็บ 19% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกการยกเว้นเกณฑ์ De Minimis ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.68 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ Reciprocal Tariff และสหรัฐฯใช้มาตรการภาษีตามมาตรา 232 เพื่อความมั่นคงของชาติภายใต้กฎหมาย Trade Expansion Act of 1962 ที่เก็บจากผู้ส่งออกทุกประเทศเท่ากัน ได้แก่ 1.เหล็กและผลิตภัณฑ์ เก็บ 50% จากเดิม 25% มีผลวันที่ 4 มิ.ย.68 2.อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ เก็บ 50% จากเดิม 25% มีผลวันที่ 4 มิ.ย.68 3.รถยนต์และชิ้นส่วน เก็บ 25% เริ่มวันที่ 3 เม.ย.68 4.ทองแดงและผลิตภัณฑ์ เก็บ 50% มีผลวันที่ 1 ส.ค.68 โดยอาจเพิ่มสินค้าอื่นๆได้อีก เช่น ยา และเวชภัณฑ์ ฯลฯ

แน่นอนว่าการเสียภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 22-24% รวมทั้งภาษีกรณีพิเศษ ย่อมทำให้การส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าลดลง และจะกระทบต่อผู้ส่งออก รวมถึงแรงงานในภาคเกษตร ภาคการผลิต อีกทั้งยังกระทบต่อเนื่องถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปด้วย

ถาม : ไทยจะถูกเก็บภาษีสินค้า Transshipment 40% หรือไม่?

ตอบ : นิยามของสินค้าที่ถูกเก็บภาษี 19% คือ สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากไทย ไม่ว่าจะใช้วัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนหลักนำเข้าจากประเทศใดมาผลิตแล้วส่งออกไปสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯยังมีเป้าหมายป้องกันสินค้าที่ส่งผ่าน หรือสวมสิทธิ์ประเทศอื่นส่งออกไปสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงมาตรการภาษีสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าจีน ทำให้ไทยและทุกประเทศที่ถูกใช้มาตรการภาษีตอบโต้ มีโอกาสถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 40% ได้ ถ้าสินค้านั้นๆมีความเสี่ยง แอบอ้างถิ่นกำเนิดโดยเฉพาะสินค้าต่างประเทศที่มาเปลี่ยนถ่ายลำเรือที่ไทย (Transshipment) และส่งออกต่อไปสหรัฐฯ หรือสินค้าที่นำเข้าสู่ไทย และนำมาแปรสภาพเล็กน้อยก่อนส่งออกไปสหรัฐฯ โดยอ้างเป็นสินค้าไทย เพื่อเลี่ยงมาตรการภาษีสหรัฐฯ

ดังนั้น ในการเจรจาทางเทคนิค จะต้องกำหนด “กฎถิ่นกำเนิดสินค้า” (Rules of Origin) เพื่อใช้เป็นเกณฑ์กำหนดว่า สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากไทยจะมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในไทย (Local Content) เท่าไร จึงจะเสียภาษี 19% รวมทั้งเกณฑ์การสะสมมูลค่าเพิ่มในภูมิภาค (Regional Value Content) ที่จะกำหนดว่าสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากไทย จะใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนของไทย ของสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร (ประเทศคู่ความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA) รวมกันเท่าไร จึงจะเสียภาษี 19% ส่วนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบ และชิ้นส่วนจากประเทศอื่นนอกเหนือจากไทย สหรัฐฯ และพันธมิตร อาจถูกเก็บ 40% เหมือนเวียดนาม

ถาม : ป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดไทยส่งออกไป สหรัฐฯอย่างไร?

ตอบ : สหรัฐฯกังวลประเด็นนี้มาก และเป็นประเด็นที่ทำให้เราจะถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมได้ ที่ผ่านมากรมการค้าต่างประเทศได้ทำงานร่วมกับศุลกากรสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด และกำหนดสินค้าเฝ้าระวัง 49 รายการ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ล้อเหล็กสำหรับรถบรรทุก แผ่นหินเทียม ท่อเหล็ก เป็นต้น ทำให้ก่อนส่งออก โรงงานผู้ผลิต-ผู้ส่งออก ต้องผ่านการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าก่อน จึงจะขอรับหนังสือถิ่นกำเนิดสินค้า (Form C/O ทั่วไป) เพื่อใช้ส่งออกไปสหรัฐฯได้

แต่ล่าสุดได้เพิ่มความเข้มงวดการออก Form C/O ทั่วไปมากขึ้นอีก โดยกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นผู้ออกเพียงหน่วยงานเดียว จากเดิมที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สามารถออกได้ รวมทั้งจะเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบสินค้าเสี่ยงสูงแอบอ้างถิ่นกำเนิดไทย เพื่อเลี่ยงกรณีที่สหรัฐฯใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเหล็ก, สินค้าตามมาตรการ 232 ทั้งเหล็กและผลิตภัณฑ์, อะลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์, รถยนต์และชิ้นส่วน, ทองแดงและผลิตภัณฑ์ รวมถึงสินค้าตามมาตรการ 301 ด้วย

ถาม : มีประเด็นใดอีกบ้างที่ต้องเจรจาหาข้อสรุปเพิ่มเติม?

ตอบ : การลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯเป็น 0% จะมีรูปแบบอย่างไร การเจรจามาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) มาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม มาตรฐานแรงงาน การปกป้องคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การลด/เลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี (NTB) ที่สหรัฐฯมองว่ายังเป็นอุปสรรคต่อการค้า ส่วนการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ และการเพิ่มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น เครื่องบินโบอิ้ง พลังงาน ฯลฯ ได้ข้อสรุปเกือบหมดแล้ว โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ปีละ 30,000-40,000 ล้านบาท ปริมาณ 1 ล้านตัน ทำสัญญาแล้ว เริ่มนำเข้าปี 69 และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีแผนจะซื้อเครื่องบินโบอิ้งราว 100 ลำ

ทั้งนี้ เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายเจรจารายละเอียดเสร็จโดยสมบูรณ์แล้ว จะจัดทำเป็น ความตกลงว่าด้วยภาษีตอบโต้ไทย–สหรัฐฯ และจะลงนามร่วมกัน เพื่อให้มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่ก่อนการลงนาม ไทยจะเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบ และเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต่อไป

ถาม : ไทยจะลดภาษีนำเข้าให้สหรัฐฯเหลือ 0% กี่รายการ?

ตอบ : ไทยตกลงจะลดภาษีนำเข้าเป็น 0% ให้สินค้าสหรัฐฯกว่า 90% หรือกว่า 9,000 รายการ จากจำนวนที่ค้าขายระหว่างกันกว่า 10,000 รายการ ซึ่งในจำนวนนี้ มากกว่า 6,000 รายการ ไทยลดเป็น 0% อยู่แล้วภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ เช่น ไทย-ออสเตรเลีย, ไทย-นิวซีแลนด์ ฯลฯ

แต่ขณะนี้สินค้าสหรัฐฯที่เข้าสู่ไทยยังไม่ได้ลดเป็น 0% เพราะยังต้องเจรจารายละเอียดต่อไปว่าสินค้าใดจะลดเป็น 0% ทันที หรือรายการใดจะทยอยลดจนเป็น 0% เพราะต้องมีระยะเวลาให้เกษตรกร ผู้ประกอบการไทยปรับตัว เช่น ไม่ต่ำกว่า 5 ปี หรือสินค้าใดจะกำหนดปริมาณนำเข้า ไม่ใช่ลดเป็น 0% ทุกรายการทันที และแม้ยกเว้นเก็บภาษีให้แล้ว สินค้าจากสหรัฐฯ ยังต้องผ่านมาตรฐานต่างๆที่ไทยกำหนดด้วย

ถาม : จะเปิดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯหรือไม่?

ตอบ : หนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยจะต้องแลกเพื่อให้สหรัฐฯไม่เก็บภาษีตอบโต้ 36% คือ เปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมา สหรัฐฯเรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดมาโดยตลอด แต่ไทยไม่ยอม เพราะจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหมูทั้งระบบ โดยเฉพาะรายเล็ก รายย่อย เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงถูกกว่าไทยมาก ขณะเดียวกันจะกระทบต่อผู้บริโภคในประเทศได้ เนื่องจากสหรัฐฯใช้สารเร่งเนื้อแดง “แรคโตพามีน” ในการเลี้ยง แต่ไทยมีกฎหมายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ห้ามใช้ในการเลี้ยงโดยเด็ดขาด รวมทั้งยังมีกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข ที่ห้ามพบการปนเปื้อนในเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ที่วางขายในท้องตลาดโดยเด็ดขาดเช่นกัน

แต่สหรัฐฯได้กดดันไทยในประเด็นที่ว่า ตั้งแต่ปี 55 คณะกรรมการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (CODEX) ได้กำหนดค่าสูงสุด ที่อนุญาตให้มีแรคโตพามีนตกค้าง (MRL) ในเนื้อหมู และเครื่องในได้ และเรียกร้องให้ไทยกำหนด MRL แต่ไทยยังไม่ได้ดำเนินการ ส่งผลให้สหรัฐฯตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) สินค้าบางรายการตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค.63 จนถึงปัจจุบัน แต่ในการเจรจาทางเทคนิค ไทยตั้งเป้าหมายเปิดนำเข้าเนื้อหมูไม่เกิน 1% ของปริมาณการผลิตในประเทศ ซึ่ง “น้อยมาก” และจะขอระยะเวลาปรับตัว อีกทั้งต้องหารือเรื่องสุขอนามัย ที่จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของไทย เพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมหมูทั้งระบบ รวมถึงผู้บริโภคไทย

ถาม : ผลกระทบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง?

ตอบ : จากการสอบถามทีมไทยแลนด์ ยืนยันว่า ไม่กระทบแน่นอน เพราะปัจจุบัน ผลผลิตของไทยไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ทำให้แต่ละปีไทยนำเข้าจากอาเซียน และสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เช่น บราซิล ดังนั้น การนำเข้าจากสหรัฐฯจึงเป็นการเพิ่มแหล่งนำเข้าใหม่ แต่ในการนำเข้าจะกำหนดให้ผู้ใช้ต้องซื้อผลผลิตในประเทศตามราคาขั้นต่ำที่กำหนดให้หมดก่อน จึงจะนำเข้าได้

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 68 ไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ 4.8 ล้านตัน แต่ต้องการใช้ 9.2 ล้านตัน ขาดแคลน 4.4 ล้านตัน แต่ผู้ผลิตอาหารสัตว์หลายกลุ่มแจ้งทีมไทยแลนด์ว่า มีความต้องการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐฯ 1.5 ล้านตัน โดยส่วนที่เหลือนำเข้าจากแหล่งเดิม และใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดอื่นๆร่วมด้วย เช่น ข้าวสาลี ขณะที่กากถั่วเหลืองไทยนำเข้าปีละ 3 ล้านตัน เช่น จากบราซิล

ถาม : มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างไร?

ตอบ : ตั้งแต่ทีมไทยแลนด์เจรจาภาษีกับสหรัฐฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำงานคู่ขนานกันไป เพื่อขจัดอุปสรรคทางการค้า และหามาตรการช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยเบื้องต้นรัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือ 4 ด้าน คือ 1.การเงิน โดยให้สถาบันการเงินของรัฐและเอกชนร่วมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) วงเงินรวม 220,000 ล้านบาท 2.การหามาตรการภาษีเพื่อลดต้นทุนการผลิตและบริหารจัดการ เช่น ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักร ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มขึ้น

 3.การขยายตลาดส่งออกใหม่ทดแทนสหรัฐฯ เช่น สนับสนุนให้ผู้ส่งออกเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ และ 4.การอำนวยความสะดวกให้ผู้ได้รับผลกระทบได้รับรู้ข้อมูลและการบริการภาครัฐแบบครบวงจรในจุดเดียว (One Stop Service) รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ

ล่าสุด สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ ส.อ.ท.อยู่ระหว่างรวบรวมผลกระทบของภาคธุรกิจต่างๆ และสิ่งที่ต้องการให้ช่วยเหลือ ก่อนนำเสนอรัฐบาลแบบลงรายละเอียด เพื่อให้สามารถช่วยเหลือ เยียวยาได้ตรงจุด และต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะการขอใช้วงเงินงบประมาณ 24,000 ล้านบาท ที่ต้องทำสัญญาการใช้เงินก่อนสิ้นสุดงบประมาณปี 68.

ทีมเศรษฐกิจ


คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ