
เนื่องจากเป็นคอลัมน์ล่วงหน้า "มิสเตอร์พี" จึงได้แต่หวังว่า เมื่อคอลัมน์นี้ออกสู่สายตาผู้อ่าน การปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาจะยุติลงแล้ว เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนบริสุทธิ์ที่อยู่ในพื้นที่
รวมทั้งมีการเริ่มต้นเจรจาเพื่อสร้างความชัดเจนให้กัมพูชารับทราบถึง “พื้นที่” ที่เป็นของประเทศไทย และแสดงให้ชาวโลกรู้ถึง “ศักยภาพของไทย” ที่ยังคงเป็น “พี่ใหญ่” ของประเทศอาเซียน
และเมื่อพูดถึงศักยภาพของไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา “มิสเตอร์พี” ได้มีโอกาสไปเยือนสำนักงานใหญ่ของกลุ่มธนาคารซีไอเอ็มบี ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศมาเลเซีย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และได้มีโอกาสพบปะกับสื่อมวลชนจาก 8 ประเทศในอาเชียน ที่ไปในงานแถลงข่าวใหญ่ของกลุ่มซีไอเอ็มบีด้วยเช่นกัน
จากการรับฟังแนวทาง และการมองภาพเชิงกลยุทธ์ของ “โนแวน อมิรูดิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มซีไอเอ็มบี ที่กล่าวในงานแถลงข่าว CIMB Group Media Day 2025 : Advancing in ASEAN พบว่า สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นประเทศที่ติดลมบนทางเศรษฐกิจไปแล้ว และอยู่บนเส้นทางของประเทศพัฒนา ส่วนประเทศที่มองว่ากำลังเติบโตดีและเป็นตลาดอนาคต คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ขณะที่กัมพูชา อยู่ในเส้นทางการเติบโตระยะถัดไป
สำหรับประเทศไทยนั้น เศรษฐกิจไทยในขณะนี้อยู่ในระยะ “พักก่อน” โดยซีไอเอ็มบี คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในหลัก 1% จึงอาจยังไม่เหมาะมากนักที่จะขยายการลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่ความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาของ “ซีไอเอ็มบี ไทย” ในเมืองไทย ทำให้ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป ไม่คิดที่จะทิ้งประเทศไทย และจะยังพยายามรักษาตลาดไทยเอาไว้ โดยปรับตัวเป็น Niche Bank
“ยังมีบริษัทต่างชาติที่ “ซีไอเอ็มบี” สนับสนุนยังลงทุนในไทย และไม่คิดย้ายฐานการผลิต และแม้จะมีเงินลงทุนใหม่ที่น้อยกว่าหลายประเทศ แต่ซีไอเอ็มบียังเห็นภาพของต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยอยู่ รวมทั้งยังเห็น “Hidden gems” ที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของคนไทย”
นอกจากนั้น จากประสบการณ์ที่ “มิสเตอร์พี” เคยทำข่าวกับ “นักข่าว” ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนมาหลายครั้ง ครั้งนี้พบว่านักข่าวสิงคโปร์ มาเลเซีย แม้แต่อินโดนีเซีย แสดงความเป็นมิตรและเห็นอกเห็นใจไทยมากขึ้น เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนที่มองว่าเราเป็นคู่แข่งคนสำคัญ แต่กลับรู้สึกถึงการเป็น “คู่แข่ง” ของเราจากเวียดนาม และกัมพูชามากขึ้น
ดังนั้น เราอาจจะต้องมาทบทวนสถานะของ “ประเทศไทย” ในสายตาอาเซียนกันอีกครั้งว่า “เราหลุดจากตำแหน่ง “พี่ใหญ่” ในอาเซียนไปตั้งแต่เมื่อไร และเพราะอะไร” ทำไมวันนี้เรากลายเป็น “คนรุ่นลุงรุ่นป้า” ที่เด็กๆและคนรุ่นใหม่อาจจะยังให้ความเคารพอยู่บ้าง แต่เห็นความสำคัญ และให้ความเกรงอกเกรงใจน้อยลง
และหากพยายามเสาะหาความจริง เชื่อว่าผู้อ่านก็มีคำตอบในใจว่า เรามาถึงวันนี้ได้อย่างไร แต่ที่สำคัญกว่า คือ เรามีโอกาสอีกหรือไม่ที่จะ “ปลดล็อก” ปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนไว้ของไทยเพื่อกลับสู่การเป็น “พี่ใหญ่” อีกครั้ง.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม