
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยในงานโครงการพัฒนาศักยภาพ ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ (พศส.) ปี 68 ในหัวข้อ “เกมเศรษฐกิจโลก: นโยบายการเงินของมหาอำนาจและผลกระทบต่อไทย” ว่า ครึ่งปีหลังนี้ เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงอย่างแน่นอน เนื่องจากต้องเผชิญปัญหาภาษีสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา กระทบต่อการตัดสินใจการมาท่องเที่ยวไทยของต่างชาติ และเชื่อว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับภาษีทรัมป์ ขณะนี้หลายฝ่ายเกาะติดสถานการณ์มาก เนื่องจากเหลือเวลาอีก 6 วันที่จะรู้ผลว่าการเจรจาของทีมไทยแลนด์สำเร็จหรือไม่ หากไม่สำเร็จประเทศไทยก็ต้องถูกสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีตอบโต้นำเข้าในอัตรา 36% เป็นอัตราที่ภาคเอกชนแบกไม่ไหว ได้แต่หวังว่าการเจรจาของทีมไทยแลนด์จะส่งผลดีต่อประเทศ โดยอัตราที่เอกชนพอรับไหวอยู่ที่ 25%
“หากไทยโดนเก็บอัตราภาษีที่ 36% จะส่งผลกระทบหนัก โดยเฉพาะภาคการส่งออก ซึ่งไทยพึ่งพาการส่งออกถึง 60% ไทยจะไม่มีรายได้ในอนาคต และจะส่งผลกระทบระยะยาว อีกทั้งคู่แข่งในภูมิภาค อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม ญี่ปุ่น ปิดดีลอัตราภาษีที่ 15-20% จะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า”
ขณะที่บริษัทหลายๆ แห่งที่กำลังมองหาประเทศที่ลงทุน ที่มีเวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย เป็นคู่แข่ง และถึงแม้ครึ่งปีแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.) จะมีคำขอส่งเสริมการลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ยังไม่ตัดสินใจลงทุน เนื่องจากรอดูผลการเจรจาภาษีทรัมป์ หากจัดเก็บภาษี 36% จริง นักลงทุนอาจต้องทบทวนการลงทุนในไทยใหม่ก็เป็นได้ ได้แต่หวังว่าทีมไทยแลนด์จะเจรจาได้อัตราภาษีที่เหมาะสม ส่วนเม็ดเงินที่รัฐบาลเตรียมไว้ 200,000 ล้านบาท เตรียมรับมือภาษีทรัมป์ อาจไม่เพียงพอต่อการรับมือ จึงต้องหามาตรการอื่นๆ รับมือ
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า จากนี้ไปเสียงของการเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ด้วยเกมเศรษฐกิจโลกของ 2 มหาอำนาจ จะถูกหยิบยกในเวทีระหว่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ และทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับประเทศไทย เชื่อว่าจะถูกถามคำถามนี้เช่นกัน ทั้งกรณีฐานทัพที่จังหวัดพังงา หรือโครงการในพื้นที่อู่ตะเภาในอนาคต ประเทศไทยควรเตรียมจุดยืนไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะจุดยืนที่ไม่เลือกข้าง และรักษาความเป็นกลางให้ได้มากที่สุด
“ถ้าไทยเข้าข้างสหรัฐฯ บริษัทที่อยากค้าขายกับจีน อาจไม่กล้ามาลงทุน ถ้าหากมีความชัดเจนว่าเข้าข้างจีน บริษัทที่ค้าขายกับสหรัฐฯ หรือสหภาพยุโรป ก็อาจลังเล ความเป็นกลางคือคำตอบที่ดีที่สุด และควรเริ่มพูดคุย ถกเถียง และตกผลึกแนวคิดกันให้มากขึ้น ตั้งแต่ตอนนี้ จุดยืนเรื่องความเป็นกลาง ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจระยะยาวของไทย แต่ช่วยให้ประเทศไทยมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์บนเวทีระหว่างประเทศอย่างมั่นคง”
ประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ได้สร้างผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว และความเสียหายที่ไม่จำเป็นต่อทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งต้องหารือและหาทางออกร่วมกัน มิเช่นนั้นจะเสียหายทั้ง 2 ประเทศ
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในรอบ 4 ปี เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมอยู่ที่ระดับ 35-36 บาท เป็นผลจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยมูลค่าเงินดอลลาร์ปรับลงจากดัชนีที่ 110 สู่ระดับที่ 97-96 ถือว่าลดลงมา 13-14% จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจว่าเงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบหลายปี
“เรื่องดังกล่าวเป็นความกังวลใจของนักลงทุนและตัวของสหรัฐฯ เรื่องค่าเงินดอลลาร์ และความมั่นคงของค่าเงิน หากสหรัฐฯ มีนโยบายต่างๆ มากมาย ในขณะที่ทำให้นักลงทุนมีความพยายามที่จะออกจากตลาดเงินดอลลาร์ สู่ตลาดทองคำ สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น”