
สถานการณ์ของประเทศไทยในตอนนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง เพราะปัจจัยหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ทั้งความขัดแย้งระหว่างไทย - กัมพูชา, น้ำท่วมน่าน รวมไปถึงการเจรจานโยบายภาษีนำเข้ากับสหรัฐอเมริกา ที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้
แม้ว่าการส่งออกครึ่งปีแรกของไทยจะมีการขยายตัวดีต่อเนื่อง แต่การปิดดีลกับโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหลายประเทศล้วนแต่ยื่นข้อเสนอที่แทบจะเรียกได้ว่าเสียเปรียบเพื่อให้ได้อัตราภาษีระดับต่ำ เช่น ลดภาษีนำเข้าให้กับสหรัฐฯ เหลือเพียง 0%
ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงถึง 36% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่งผลให้ในแง่การแข่งขันนั้น เรายังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินโดนีเซีย เวียดนาม หรือญี่ปุ่น ที่เจรจาปิดดีลกับสหรัฐแล้ว และได้รับการปรับอัตราภาษีใหม่ที่น้อยลงกว่าเดิมในระดับ 15% - 20%
แม้ว่าการส่งออกครึ่งปีแรกของไทยจะมีการขยายตัวดีต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 15.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และทองคำ แต่ครึ่งปีหลังนั้น ภาคการส่งออกไทยมีแนวโน้มที่จะหดตัวราว 10% เพราะความกังวลเรื่องภาษีทรัมป์ ทำให้ไทยเร่งเจรจาเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ภาษีต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่การจะปิดดีลกับโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประเทศเหล่านี้ล้วนแต่ยื่นข้อเสนอที่แทบจะเรียกได้ว่าเสียเปรียบเพื่อให้ได้อัตราภาษีระดับต่ำ เช่น ตกลงที่จะซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ หรือลดภาษีนำเข้าให้กับสหรัฐฯ เหลือเพียง 0% แต่สหรัฐฯ ยังคงเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศนั้นอยู่แม้จะลดให้
ซึ่งเกิดการตั้งคำถามแบบนี้ขึ้นมากับประเทศไทยว่า หากเราจะไปเจรจาให้ถูกใจทรัมป์ ต้องลดภาษีให้เหลือ 0% เหมือนประเทศอื่นไหม? หากยอมลดให้ จะเกิดผลดีและผลเสีย อย่างไรกับประเทศไทยต่อไป?
จากรายงานของวิจัยกรุงศรี พบว่า ในกรณีที่ไทยปิดดีลด้วยการเสนอเก็บภาษีสหรัฐ 0% เพื่อให้สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าเหลือ 20% นั้นมีทั้งข้อดีคืออาจช่วยลดความเสียหายของภาคการส่งออกได้มากถึง 9 เท่า และข้อเสียคือการนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่หลั่งไหลเข้าไทยนั้นอาจพุ่งสูงขึ้น และสร้างความเสี่ยงในระยะยาว เช่น
ลดลงจาก -162,100 ล้านบาท เหลือแค่ -17,400 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจาก 161,300 ล้านบาท เป็น 188,300 ล้านบาท
และยังระบุว่า ไทยเสี่ยงเผชิญภาวะ “Twin Influx” หรือการไหลทะลักของสินค้านำเข้าจากจีนและสหรัฐฯ พร้อมกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ากังวลอย่างมากสำหรับภาคธุรกิจไทย ที่ต้องเอาตัวรอดจากทั้งเศรษฐกิจซบเซา คนใช้จ่ายน้อย และการแข่งขันเรื่องราคากับสินค้าต่างประเทศ
นอกจากสินค้าจีนที่จะไหลเข้ามาแล้ว ไทยยังเสี่ยงที่จะเผชิญกับการไหลทะลักของสินค้าสหรัฐฯ ที่มาจากภาษีนำเข้า 0% ด้วย ซึ่งอาจส่งผลเสียในระยะยาวต่อภาคธุรกิจไทย โดย ศูนย์วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า สินค้าจากสหรัฐฯ ที่จะทะลักเข้ามาในไทยในภาวะ Twin Influx นั้น มีดังนี้
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันภาวะ Twin Influx ภาคธุรกิจไทยอาจจะต้องปรับตัว ลดต้นทุนและราคาให้สามารถสู้กับสินค้าที่ทะลักเข้ามาจากต่างประเทศได้ เพราะหากไทยปิดดีลเจรจากับสหรัฐฯ ด้วยการลดภาษีนำเข้าสู่ไทยให้เหลือแค่ 0% เหมือนที่ประเทศอื่นทำ เราอาจได้ทั้งรับและเสียผลประโยชน์ในคราวเดียวกัน
ดังนั้น หากภาคธุรกิจอยากอยู่รอดในกรณีที่ไทยอาจเผชิญกับการที่สินค้าทะลักเข้าไทย ต้องปรับตัวให้ไวตามสถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจ
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกร, วิจัยกรุงศรี
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney