
หลังจากที่รอคอยมาเกือบ 2 ปี กับนโยบายเรือธงของกระทรวงคมนาคม ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม หมายมั่นปั้นมือจะต้องทำให้สำเร็จ ในที่สุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการการจัดเก็บอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาทตลอดสาย
โดยตั้งเป้าหมายให้เริ่มโครงการให้ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 เป็นต้นไป ครอบคลุมการเดินทางทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพ มหานครและปริมณฑล จำนวน 8 สาย ประกอบไปด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว รถไฟฟ้าสายสีทอง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง รถไฟฟ้าสายสีชมพู รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟฟ้าสายสีแดง และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ (ARL) จากเดิมที่ใช้ได้กับรถไฟฟ้า 2 สาย คือ รถไฟฟ้าสายสีแดง และสีม่วงเท่านั้น
เบื้องต้นมาตรการดังกล่าวให้มีกรอบระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 ถึง 30 ก.ย.2569
อย่างไรก็ตาม แม้ ครม.จะเห็นชอบให้ดำเนินการแล้ว และคนไทยส่วนใหญ่ดีใจว่ารัฐบาลได้ทำตามที่พูด ที่สัญญาไว้ แต่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐเอง และฝ่ายค้าน ต่างพากันแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ถึงความพร้อม และไม่พร้อมของรัฐบาล โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมายที่จะมารองรับ เพื่อให้มีงบประมาณเข้ามาอุดหนุน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ผ่านวาระ 2 และ 3 รวมทั้งตั้งข้อสังเกตถึงจำนวนเงินชดเชยของภาคเอกชนที่ยังไม่ลงตัว
ขณะที่บางกลุ่มกล่าวอ้างว่ามาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทำแล้วไม่คุ้มค่า เพราะเป็นการเอาเงินภาษีของคนทั้งประเทศมาอุดหนุนคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เพื่อให้การเดินทางไปสู่การจ่ายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายของคนไทยเกิดขึ้นได้จริง “ทีมเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ” ได้รวบรวมปัจจัยที่จะกระทบต่อความพร้อม และไม่พร้อมที่จะเดินหน้านโยบาย 20 บาทตลอดสาย การเตรียมการเพื่อใช้โครงข่ายรถไฟฟ้า 20 บาทในภาคประชาชน รวมทั้งความเสี่ยงในด้านต่างๆ ที่อาจจะทำให้เดินหน้าได้ไม่ทันตามที่รัฐบาลประกาศเอาไว้
“ทีมเศรษฐกิจไทยรัฐ” ขอเริ่มจากปัจจัยสำคัญ หากต้องการทำให้นโยบาย 20 บาทตลอดสายสำเร็จได้ โดยกระทรวงคมนาคมจำเป็นจะต้องอาศัยกรอบกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่จะมาเสริมเขี้ยวเล็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมาย 3 ฉบับที่สำคัญ ที่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดทำและปรับปรุงแก้ไขและรอเข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาโหวตในวาระ 2 และวาระ 3
ที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือต้องผลักดันให้กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ ผ่านสภาฯให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ตีตราหน้าได้เลยว่า นโยบายเรือธง “20 บาทตลอดสาย” จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันเวลาที่ลั่นวาจาไว้ 1 ต.ค.68 นี้แน่ๆ
สำหรับกฎหมายทั้ง 3 ฉบับที่รอเข้าสภาฯ ประกอบด้วย 1.ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การขนส่งทางราง พ.ศ. ... เพื่อกำหนดกรอบการกำกับดูแลระบบขนส่งทางรางให้มีมาตรฐานและประสิทธิภาพ ซึ่งล่าสุดมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางรางฯ วาระ 1 และวาระ 2 แล้ว และเตรียมเสนอสภาฯพิจารณาวาระ 3
2.ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. ... ซึ่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวเพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมให้เป็นเอกภาพ ซึ่งจะช่วยให้บริการขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟ รถไฟฟ้า สามารถดำเนินการด้วยบัตรใบเดียว โดยกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่าน ครม.เห็นชอบ และปัจจุบันสภาฯได้มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม วาระ 1 ไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 ม.ค.68 และเตรียมเสนอสภาฯพิจารณาวาระ 2 และ 3 ต่อไป
3.ร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าฯ พ.ศ.2543 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน สามารถดำเนินการตามภารกิจของ รฟม. หรือตามนโยบายของรัฐบาลได้ โดยร่าง พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าฯนี้ได้ผ่านมติเห็นชอบจาก ครม.ไปแล้ว เมื่อวันที่ 20 พ.ค.68 และที่ประชุมสภาฯรับหลักการวาระ 1 แล้ว เมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 และเตรียมเสนอพิจารณาวาระ 2 และวาระ 3 ต่อไป
ทั้งนี้ พ.ร.บ.การรถไฟฟ้าฯมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้รัฐบาลสามารถเดินหน้านโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้สำเร็จ เพราะมีการแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของรายได้และอำนาจของ รฟม.ที่จะเปิดโอกาสให้นำเงินรายได้สะสมของ รฟม. ที่มาจากส่วนแบ่งค่าสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (MRT) โอนเข้ากองทุนตั๋วร่วมฯ เพื่อจ่ายชดเชยให้กับรถไฟฟ้าสายอื่นได้ เช่น สายสีแดง แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สายสีเขียว และสายสีทอง เป็นต้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่า พ.ร.บ.ทั้ง 3 พ.ร.บ.จะผ่านการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 และจะมีการจัดตั้งกองทุนตั๋วร่วมฯขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่ยังมีประเด็นสำคัญอีกประเด็นที่ต้องสะสางให้เด็ดขาด คือ เงินที่จะเข้ามาอุดหนุนกองทุนฯ รวมทั้งการจัดการเงื่อนไขสัญญาสัมปทานของเอกชนที่จะเข้ามาร่วมในโครงการ
และจากสถานการณ์ล่าสุดวันนี้ การนำเงินงบประมาณมาใช้ในการชดเชยรายได้ค่าโดยสารก็ดูยังไม่ลงตัว แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการเสนอให้ ครม.รับทราบกรอบวงเงินที่ต้องใช้แล้ว รวมทั้งสิ้น 5,512 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินชดเชยให้ 1.โครงข่ายรถไฟฟ้าของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 666 ล้านบาท แบ่งเป็น รถไฟชานเมืองสายสีแดง 189 ล้านบาท และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ 477 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้ระบุแหล่งที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน
2.โครงข่ายรถไฟฟ้าของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) รวม 2,321 ล้านบาท แบ่งเป็นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 1,192 ล้านบาท, รถไฟฟ้าสายสีม่วง 480 ล้านบาท, รถไฟฟ้าสายสีเหลือง 249 ล้านบาท, รถไฟฟ้าสายสีชมพู 400 ล้านบาท ซึ่งแหล่งที่มาของงบมาจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมหรือแหล่งเงินอื่น
ขณะที่การชดเชยส่วนที่ 3.โครงข่ายรถไฟฟ้าของกรุงเทพ มหานคร (กทม.) ชดเชยรวม 2,525 ล้านบาท แบ่งเป็นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 2,503 ล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีทอง 22 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่ กทม.ได้มีการประมาณการการชดเชยส่วนต่างรายได้ของโครงการรถไฟฟ้าไว้ที่ 11,059.64 ล้านบาท
ล่าสุด ผู้ว่าฯ กทม. “ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ” ยังได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกว่า “นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ช่วยให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ถูกลง ซึ่ง กทม.ไม่มีข้อขัดข้องใด แต่มีข้อสำคัญอยู่ 2 ประเด็น คือ ส่วนของ สัมปทานของเอกชนที่มีสัญญาอยู่ เรื่องรายได้ หรือการชดเชยรายได้ที่หายไป จะต้องทำอย่างไร และตัวเลขที่กระทรวงคมนาคมประมาณการมาอาจดูน้อยเพราะปัจจุบันค่าโดยสารเฉลี่ยในส่วนสัมปทานจะอยู่ที่ 34 บาทต่อคน ประเมินจากผู้โดยสารประมาณ 700,000 คน แต่หากรวมส่วนต่อขยายปริมาณผู้โดยสารจะอยู่ที่ 900,000 คน ทำให้ต้องหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคมอีกครั้ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนนี้”
ประเด็นที่ 2 คือในขณะนี้ กทม.จ้างเอกชนเดินรถอยู่ก็ต้องดูว่าจะชดเชยอย่างไร เพราะต้นทุนที่แท้จริงที่ กทม.จ้างเอกชนเดินรถอยู่ที่ 8,000 ล้านบาทต่อปี แต่มีรายรับ 2,000 ล้านบาท จะชดเชยเท่าไรเพื่อให้เกิดความยุติธรรม
ทั้งสองประเด็นข้างต้น เป็นสิ่งที่กระทรวงคมนาคมต้องฝ่าฟันไปให้ได้ และหากในที่สุดสามารถผลักดันให้รถไฟฟ้าทั้งระบบเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายได้จริงในวันที่ 1 ต.ค.นี้ มาถึงปัจจัยที่คนไทยที่ต้องการเดินทางด้วยระบบขนส่งทางรางในราคา 20 บาท จะต้องเตรียมตัวก่อนที่จะเริ่มเดินทางจริงอย่างไร เนื่องจากผู้ให้บริการรถไฟฟ้าในปัจจุบันไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐอย่างเดียว ยังมีผู้ให้บริการที่เป็นเอกชนด้วย ทำให้รูปแบบและเงื่อนไขในการชำระค่าโดยสารต่างกัน
ดังนั้น หากต้องการขึ้นรถไฟฟ้า โดยจ่ายเงิน 20 บาทตลอดสาย อันดับแรกที่สำคัญมากๆ คือ ประชาชนที่จะเดินทางตามนโยบายจะต้องมีการลงทะเบียนตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนดบนแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ก่อน โดยรัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ได้ภายในเดือน ส.ค.นี้
เพื่อให้สามารถยืนยันตัวบุคคลผู้ใช้ว่า มีสัญชาติไทยจริง โดยให้ระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก ทำให้คนไทยสบายใจ คนไทยเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ตรงนี้ ชาวต่างชาติไม่สามารถใช้ราคาโดยสารนี้ได้ โดยบัตรประชาชนที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียนจะได้สิทธิโดยอัตโนมัติ จะครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทั้ง 8 สายที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน
และหลังจากลงทะเบียนแอปทางรัฐเรียบร้อย สิ่งที่ควรรู้อีกข้อคือ การจะขึ้นรถไฟฟ้าและจ่ายในราคาสูงสุดไม่เกิน 20 ตลอดสายทุกสี ทุกเส้นทางได้นั้น ผู้โดยสารจะต้องมีบัตรโดยสาร 2 ใบนี้ คือ บัตร Rabbit Card และบัตร EMV Contactless (Visa/Mastercard) หากไม่ได้ถือบัตร 2 ใบนี้ แต่เป็นบัตรเติมเงินอื่น เช่น MRT Plus ของสายสีม่วงหรือบัตรเติมเงิน (Stored Value Card) ของสายสีแดง ผู้โดยสารจะต้องจ่ายค่าโดยสารในราคาปกติ
“บัตร Rabbit Card” จะใช้ชำระค่าโดยสารกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว, รถไฟฟ้าสายสีทอง, สายสีเหลือง, สายสีชมพู ของผู้ให้บริการบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสเท่านั้น ส่วน “บัตร EMV Contactless” (หากใช้บัตรเครดิตใช้ได้ทุกธนาคาร แต่หากเป็นบัตรเดบิตจะให้ใช้ได้เฉพาะธนาคารกรุงไทยเท่านั้น) ก็จะใช้ชำระกับรถไฟฟ้าสายสีแดง, รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีชมพู, สายสีเหลือง, และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าของบีทีเอส จะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าของภาครัฐ ไม่ว่าสายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดง สามารถใช้บัตร 2 ใบ คือ บัตร EMV แตะสำหรับรถไฟฟ้าภาครัฐ และใช้ “บัตร Rabbit Card” กับโครงข่ายบีทีเอส โดยเสียเงินในราคา 20 บาทตลอดสาย โดยจะมีการปรับยอดหลังบ้านให้สอดคล้องกันทั้งบีทีเอส และรถไฟฟ้ารัฐบาล ซึ่งกรณีนี้จะต้องทำความเข้าใจกับผู้โดยสารให้ชัดเจน เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในช่วงใช้ขึ้นรถไฟฟ้าจริง
ท้ายที่สุด แผนรองรับในอนาคต เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารต้อง “ปวดหัว” ว่าต้องมีบัตรกี่ใบ ใช้กับสายไหน ทางภาครัฐเตรียมเปิดระบบสแกน QR Code แทนการใช้บัตร เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในการเดินทาง.
ทีมเศรษฐกิจ
อ่านคอลัมน์ "สกู๊ปเศรษฐกิจ" ทั้งหมดที่นี่