ตลาดหุ้นพุ่งหวังข่าวดีภาษีทรัมป์ เอกชนกังขาจะได้ 18% - “เผ่าภูมิ” ยันไม่เหมาหมดลดภาษี 0%

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ตลาดหุ้นพุ่งหวังข่าวดีภาษีทรัมป์ เอกชนกังขาจะได้ 18% - “เผ่าภูมิ” ยันไม่เหมาหมดลดภาษี 0%

Date Time: 18 ก.ค. 2568 07:00 น.

Summary

หุ้นไทยพุ่งแรง หวังข่าวดี เจรจารอบใหม่ "ทีมไทยแลนด์" ยื่นข้อเสนอลดภาษีให้สหรัฐ 0% หลายรายการ หวังได้ลดภาษีลงเหลือ 18-25% “เผ่าภูมิ” ยันไทยเจรจาสหรัฐฯ เชื่อไม่เหมาหมดลดภาษี 0%

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 17 ก.ค. 68 ว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรง ท่ามกลางความคาดหวังว่าการเจรจาของ "ทีมไทยแลนด์" ที่นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง หารือกับหน่วยงานการค้าสหรัฐ (USTR) ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ที่ฝ่ายไทยได้ยื่นข้อเสนอใหม่ในการลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ 0% หลายรายการ รวมทั้งข้อเสนออื่น ๆ ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าการเจรจา ที่นักลงทุนหวังว่าจะมีข่าวดี ได้ปรับลดภาษีลงเหลือ 18-25% จาก 36% ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาไล่ซื้อหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเพราะได้รับแรงกดดันจากภาษีทรัมป์ 36% ในก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหุ้นส่งออกและอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ดัชนีมาปิดตลาดที่ 1,198.11 จุด เพิ่มขึ้น 40.48 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 63,374.58 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 2,494.87 ล้านบาท


บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดรอลุ้นผลการเจรจารอบที่ 2 ของไทยกับสหรัฐฯ รวมไปถึงรายละเอียดของข้อตกลงการค้า หลังมีการเสนอการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเป็น 0% หลายหมื่นรายการ บนความคาดหวังการเจรจาภาษีที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 18% ตามคำให้สัมภาษณ์ของ รมว.พาณิชย์ ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดยก่อนหน้านี้ ดัชนีหุ้นไทยได้ตอบรับความคาดหวังโดยปรับขึ้น 8.4% จากจุดต่ำสุดมาแล้ว ดังนั้นหากผลการเจรจาภาษีรอบนี้ ออกมามากกว่า 20% มากกว่าเพื่อนบ้าน ตลาดอาจจะตอบรับในเชิงลบ


ด้าน บล.ไอร่า ระบุว่า ยังคงมุมมองตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นจากแรง Cover Short ซื้อหุ้นคืน ส่งผลให้ตลาดเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมา ขณะที่เมื่อคืนวันที่ 16 ก.ค. มีการเปิดเผยว่า รมว.คลัง ยื่นข้อเสนอในการปรับลดภาษีนำเข้าหลายหมื่นรายการลงสู่ 0% เพื่อแลกกับระดับภาษีนำเข้าสินค้าไทย 18-20% แต่ค่อนข้างยากที่จะได้ภาษีระดับดังกล่าว


อย่างไรก็ดีผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่าจากกรณีที่มีการลือสะพัดเรื่องการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ไทยจะได้ดีลที่ดี โดยไทยตั้งเป้าปิดดีลที่ภาษี 18% เพื่อไม่เสียเปรียบเวียดนามและอินโดนีเซียที่ปิดดีลได้ที่ 20% และ 19% ตามลำดับ ทำให้บรรดาบริษัทหลักทรัพย์ได้ส่งบทวิเคราะห์ไปยังนักลงทุนที่เป็นลูกค้าส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 17 ก.ค. จึงได้พุ่งทะยานอย่างมากนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้วในช่วงที่มีการสัมภาษณ์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งได้เปิดเผยว่า นายพิชัย ได้เจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นั้น แค่บอกว่าจะเสนอไม่ให้ไทยเสียเปรียบเพื่อนบ้าน โดยไม่มีการเอ่ยถึงการปิดดีลที่ภาษี 18% แต่อย่างไร


ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงแนวทางการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ โดยยืนยันว่า ทีมไทยแลนด์ มีการชั่งน้ำหนักผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยจากการเจรจาภาษี โดยยึดหลักความสมดุล เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลคนไทยทั้งประเทศ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการเจรจา ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าจะต้องทำให้ดีที่สุด ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่ไทยอาจจะไม่ได้ลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 0% ให้กับสหรัฐฯ แบบ 100% เหมือนที่หลายประเทศได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากรัฐบาลต้องมองภาพใน 2 มิติ คือ ไม่ได้มองแค่ภาพของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคส่งออกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนทั้งประเทศด้วย ทั้งนี้ แม้ภาคการส่งออกจะมีผลสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่าในส่วนอื่น แต่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลผลกระทบทั้งสองฝั่ง คงดูแลเฉพาะภาคส่งออกอย่างเดียวไม่ได้ การดำเนินงานจึงต้องพิจารณาแนวทางที่จะต้องได้ผลที่เหมาะสมและสมดุลมากที่สุด


“ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ สิ่งที่เราจะไปลดภาษีลงนั้น ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่เราจะต้องเปิดมากขึ้น นั่นหมายถึงจะมีผู้เดือดร้อนมากขึ้น ดังนั้นโจทย์สำคัญคือการสร้างความสมดุล ต้องชั่งน้ำหนักทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งฝั่งผู้ส่งออก และฝั่งประชาชนในประเทศ ต้องพิจารณาผลกระทบทุกภาคส่วนให้ครบ โดยเรื่องการลดภาษีให้ 0% นี้ยังอยู่ในกระบวนการ เราจะต้องมีส่วนที่กันไว้สำหรับประชาชนในประเทศ ผู้ที่ผลิตสินค้าในประเทศ”


นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กรณีกระแสข่าวที่ทีมไทยแลนด์สามารถเจรจากับสหรัฐเพื่อขอลดภาษีตอบโต้ทางการค้า 36% เหลือ 18% หากเป็นเรื่องจริง ก็ถือว่าเป็นข่าวดีของประเทศไทย และเป็นอัตราที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับอัตราภาษีของอินโดนีเซียและเวียดนาม แต่ขณะนี้ ภาคเอกชนก็ยังไม่มั่นใจจนกว่าจะเห็นตัวเลขภาษีจริงประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ