
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกบทวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ กับสินค้าไทย สรุปได้ว่า หากสหรัฐฯ กดดันให้ไทยนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในหมู เมด อิน ยูเอสเอ เพื่อแลกกับการลดภาษีศุลกากรตอบโต้ลงจาก 36% จะกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทานหมูไทย โดยเฉพาะเกษตรกรที่จะถูกบีบให้เลิกกิจการมากขึ้น ทั้งผู้เลี้ยงหมู 149,000 ราย ผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ อย่างรำข้าว ข้าวโพด 5 ล้านครัวเรือน โรงชำแหละ และเขียงหมู ส่งผลให้มูลค่าตลาดเนื้อหมูที่อาจสูญเสียไปราว 112,330 ล้านบาท เนื่องจากหมูของสหรัฐฯ มีการผลิตในขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ อันดับ 3 ของโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับต่ำ ขายหมูได้ในราคาต่ำเฉลี่ย 1.7 ดอลลาร์ฯ ต่อกิโลกรัม (กก.) ขณะที่ราคาขายหมูไทยสูงเฉลี่ยที่ 2.3 ดอลลาร์ฯ ต่อ กก. ซึ่งสูงกว่าประมาณ 1.3 เท่า ซึ่งกรณีนี้รัฐบาลจำเป็นต้องประเมินผลกระทบต่างๆ อย่างรอบด้าน
ส่วนสินค้าที่ประเทศไทยจะเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง หากถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้า 36% จริง จะส่งผลให้สินค้าไทยมีแนวโน้มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ โดยสินค้าที่เสียเปรียบเวียดนาม ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า กล้องวีดีโอ ปลาแปรรูป สินค้าที่เสียเปรียบมาเลเซียคือ ปริ้นเตอร์ และเครื่องจักรไฟฟ้า ที่เสียเปรียบอินโดนีเซีย คือ เครื่องจักรไฟฟ้า และกุ้งแปรรูป ขณะที่เครื่องปรับอากาศของไทย จะเสียเปรียบสินค้าจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เชิญคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) หารือเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอใหม่ ที่ไทยส่งไปให้สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 68 พิจารณาปรับลดภาษีตอบโต้ไทยให้ต่ำกว่า 36% ว่า กกร.เห็นว่า ข้อเสนอของไทยรอบล่าสุดถือว่าเหมาะสม ไม่เสียเปรียบต่อประเทศคู่แข่งในการเจรจาต่อรอง โดยเฉพาะเวียดนาม อีกทั้งคำนึงถึงประโยชน์ของกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและเกษตรกร ทั้งนี้ หากไม่สามารถเจรจาให้ได้อัตราภาษีที่เหมาะสม จะส่งผลต่อเนื่องยาวนานในระบบเศรษฐกิจไทย แต่หากเจรจาให้ใกล้เคียงกับคู่แข่ง จะช่วยบรรเทาความเสียหายของภาคการส่งออก และรักษาความสามารถในการแข่งขันของไทยไว้ได้”
นายณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า ขอรัฐบาลเร่งเจรจาเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่เหมาะสมและไม่เสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาค รวมถึงสนับสนุนการปรับตัวของเอสเอ็มอีไทยด้วยการกระจายตลาด ลดการพึ่งพาตลาดเดียว และส่งเสริมการนำนวัตกรรมมาใช้ในสินค้าและบริการ ที่สำคัญขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการเยียวยาอย่างเร่งด่วน อาทิ การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียน การช่วยเหลือในการหาตลาดใหม่ในภูมิภาค และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอสเอ็มอีรายย่อย
ทั้งนี้ หากสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากไทย 36% จริง จะกลายเป็นวิกฤติที่กระทบเอสเอ็มอีรายย่อยอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้เอสเอ็มอีรายย่อยต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นทันที ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น เวียดนาม ที่ถูกเรียกเก็บ 20% มาเลเซีย 25% อินโดนีเซีย 32% ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ 25% นอกจากนี้ ยังเริ่มมีสัญญาณการชะลอคำสั่งซื้อจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ รวมถึงการขอต่อรองราคาหรือส่วนลดมากขึ้น เพื่อชดเชยต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้กำไรของเอสเอ็มอีรายย่อยหดตัวลงอย่างมาก
“เอสเอ็มอีที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มที่รับจ้างผลิต อาจสูญเสียตลาดหลักทันทีจากการถูกยกเลิกหรือถูกลดปริมาณการสั่งซื้อ ผลกระทบยังลุกลามไปถึงแรงงาน 3.7 ล้านคน และเอสเอ็มอีเกือบ 5,000 ราย นอกจากนี้ นักวิชาการเตือนว่าภาษี 36% อาจทำให้จีดีพีไทยปีนี้ติดลบ 1.1% และครึ่งปีหลังอาจติดลบถึง 4-4.5% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และจีน อาจชะลอหรือย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ได้อัตราภาษีต่ำกว่า เช่น เวียดนาม”