แนะรัฐบาลเสียสละ "เดินหน้าประเทศ" เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำคัญกว่า "เล่นเกมการเมือง"

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

แนะรัฐบาลเสียสละ "เดินหน้าประเทศ" เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำคัญกว่า "เล่นเกมการเมือง"

Date Time: 7 ก.ค. 2568 04:45 น.

Summary

“เราจะเดินหน้าประเทศไทย นำพาเศรษฐกิจไทยต่อไปอย่างไรให้พ้นวิกฤติรุนแรง” วันนี้ “ทีมเศรษฐกิจ” มีความคิดเห็นจากภาคส่วนเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงมานำเสนอ เพื่อให้เห็นจุดสำคัญที่ต้องจับตาในระยะต่อไป

Latest

เปิดศึกชิงตลาดบรอดแบนด์ 50% “ทรู”ผนึกพลัง”ทรูวิชั่นส์-ทรูไอดี-ทรูดิจิทัล”

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะกลับมาสงบชั่วคราว หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างการรับพิจารณาคดี “คลิปเสียงคุณอา” เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา และส่งไม้ต่อให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อเดินหน้า ครม.“แพทองธาร 1/2”

แต่ทุกคนในประเทศต่างรู้ดีว่า “วิกฤติการเมืองไทย” ขณะนี้จะต้องมีภาค 2 ที่วุ่นวายกว่าที่เป็นอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้ความสั่นคลอนทางการเมืองที่กระเพื่อมอยู่ภายใน สถานการณ์เศรษฐกิจไทยก็กำลังเดินหน้าเข้าสู่ “วิกฤติซ้อนวิกฤติ”

กำลังซื้อในประเทศตกต่ำต่อเนื่อง คนไทยออกไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อของใช้ กินข้าวนอกบ้านน้อยลงมาก ขณะที่การท่องเที่ยวที่เคยเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสะดุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งจากกรณีการลักพาตัวนักแสดงจีน แผ่นดินไหว สงครามในหลายพื้นที่ทั่วโลก และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

และล่าสุดความหวังของผู้ส่งออกไทย ที่คาดว่าอย่างน้อยที่สุดการบินลัดฟ้าไปเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ ของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง จะได้รับคำสัญญา ว่า “เราเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจา และคงอัตราภาษีไทยไว้ที่ 10% ไปก่อน” ก็ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้ต้องลุ้นว่าเมื่อครบเส้นตาย 90 วันของการชะลอการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ประเทศไทยจะถูกภาษีอัตราใด และจะส่งผลต่อภาคส่งออกรุนแรงเพียงใด

ทำให้มีคำถามว่าในสถานการณ์นี้ “เราจะเดินหน้าประเทศไทย นำพาเศรษฐกิจไทยต่อไปอย่างไรให้พ้นวิกฤติรุนแรง” วันนี้ “ทีมเศรษฐกิจ” มีความคิดเห็นจากภาคส่วนเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงมานำเสนอ เพื่อให้เห็นจุดสำคัญที่ต้องจับตาในระยะต่อไป...ดังนี้

วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทำให้สถานการณ์การเมืองชัดเจนขึ้น เห็นได้จากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทันที และสิ่งที่ดี คือ ทุกอย่างหลังจากนี้จะยังอยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ คือ มีรักษาการนายกฯ รัฐบาลยังคงอยู่ และมีอำนาจเต็มบริหารประเทศได้ ไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง เพราะหยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะตัวนายกฯ ส่วนรัฐมนตรีอื่นๆ แม้ปรับใหม่ แต่ก็ปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว

“การเมืองต้องรีบทำให้เคลียร์ ขนาดตลาดหุ้นยังมองว่า อะไรที่เคลียร์ได้ คือ ดีที่สุด จะได้เห็นทิศทางเดินหน้าต่อได้ ไม่ได้มองว่าอะไรถูก หรือผิด ซึ่งด้านการเมืองไม่มีอะไรห่วงใน 1-2 เดือนที่รอการพิจารณาของศาลฯว่าจะถอดถอนนายกฯตามคำร้องหรือไม่ เดิมภาคเอกชนเป็นห่วงการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แต่เมื่อสถานะของรัฐบาลยังคงอยู่ตามรัฐธรรมนูญ การเจรจากับสหรัฐฯก็ไม่มีปัญหา เดินหน้าต่อได้”

อย่างไรก็ตาม หากสุดท้ายแล้วนายกฯถูกถอดถอน หรือเปลี่ยนตัวนายกฯ หรือเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ก็มีขั้นตอนการเลือกนายกฯคนใหม่ตามรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่หากยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ก็ยังมีขั้นตอนดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ที่ทั่วโลกยอมรับอยู่แล้ว

ส่วนด้านเศรษฐกิจ ในขณะที่รัฐบาลมีอำนาจเต็ม และมีรัฐมนตรีใหม่หลายคน ที่พร้อมแสดงฝีมือและสร้างผลงาน ภาคเอกชนอยากให้เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และนำพาเศรษฐกิจไทยให้พ้นจากปากเหวโดยเร็ว โดยเฉพาะการเร่งรัดเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ หากได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ภาคเอกชนจะได้หาวิธีปรับตัว และเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้เสร็จโดยเร็ว โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป (EU) เพื่อสร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ยังต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 68 ที่จะสิ้นสุดปีงบเดือน ก.ย.นี้ และเร่งพิจารณางบประมาณปี 69 เพราะไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัยนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ที่พิจารณางบล่าช้าถึง 6-7 เดือน ทำให้รัฐไม่มีเงินใช้จ่ายโครงการใหม่ จึงไม่มีเงินเข้ามาหมุนเวียน และเศรษฐกิจซึมตัว รวมทั้งใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 115,000 ล้านบาทตามแผน เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนช่วงไตรมาส 3 และ 4 และทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปีนี้ขยายตัว

“ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน เราแก้ไขเองไม่ได้ ต้องปรับตัวตามกระแส ส่วนในประเทศสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ คือ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ ทำให้ประชาชนกล้าใช้จ่าย เพราะช่วงนี้คนไทยไม่กล้าใช้จ่าย กังวลอนาคต ส่งผลให้เศรษฐกิจชะงักงัน มองว่าเที่ยวไทยคนละครึ่ง เป็นโครงการที่ดี ทำให้คนกล้าใช้จ่าย เพราะจ่ายเองครึ่งหนึ่งและรัฐจ่ายให้อีกครึ่งหนึ่ง จะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้”

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความไม่แน่นอนสูง การส่งออกไทยครึ่งปีหลังจะหดตัว จากการที่ผู้นำเข้าเร่งนำเข้าก่อนหมดช่วงผ่อนปรนภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ คาดว่า การส่งออกทั้งปีขยายตัวใกล้เคียง 0% กระทบภาคการผลิต การจ้างงาน และรายได้ของแรงงาน ทั้งนี้ หากสหรัฐฯเก็บภาษีไทยเท่าเดิมที่ 10% เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวใกล้เคียง 2% แต่หากเก็บที่ 18% จะขยายตัวใกล้ 1.5% ท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลง จำนวนนักท่องเที่ยวจีนต่ำกว่าคาด

“ถ้าการเมืองนิ่งเร็วที่สุดจะดีกับประเทศ เพราะเหมือนเราอยู่ในความกังวลมาตลอด และมองไม่เห็นแสงสว่าง คาดหวังว่าการเมืองจะช่วยขับเคลื่อน และนำพาเศรษฐกิจให้พ้นปากเหวได้ ภายใต้โลกที่วุ่นวาย”


ณัฐ วงศ์พานิช
ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเห็นว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองในปัจจุบัน คือ อุปสรรคสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เกิดภาวะ “รอดูสถานการณ์” ซึ่งจะฉุดการลงทุนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตเพียง 1.5-2.0% สะท้อนถึงแรงกดดันรอบด้าน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าอย่างโปร่งใส ฟังเสียงภาคเอกชน และร่วมกันขับเคลื่อนประเทศอย่างจริงจัง เพราะเศรษฐกิจไทยไม่อาจรอได้อีกต่อไป

“สิ่งที่ประเทศต้องการมากที่สุดในขณะนี้คือ “ความชัดเจนทางการเมือง ความจริงใจในการแก้ไขปัญหา การบริหารงานอย่างต่อเนื่อง และการฟื้นฟูความเชื่อมั่นโดยเร็วที่สุด” เพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่น ทั้งในหมู่ประชาชนและภาคธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด”

ในมุมประชาชน รัฐบาลต้องเร่งสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยมุ่งแก้ปัญหาปากท้อง ลดค่าครองชีพ บรรเทาภาระหนี้สิน หัวใจสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่น ส่วนในมุมนักลงทุนไทยและต่างชาติ ต่างเฝ้าจับตาเสถียรภาพทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจลงทุน และการเดินหน้าโครงการสำคัญ

โดยหนึ่งในปัญหาเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ เพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่น คือ แก้ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่ฉุดรั้งการบริโภคของประชาชน และหนี้ของผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ซึ่งกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและจ้างงาน โดยรัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูกำลังซื้อ เสริมสภาพคล่องให้ SMEs พร้อมส่งเสริมภาคท่องเที่ยว ที่ยังเป็นกลไกหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่การส่งออกยังไม่ฟื้นตัว

“ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และกระตุ้นการจับจ่ายผ่านมาตรการ “คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ณ จุดขาย” (Instant Tax Refund) พร้อมทั้งขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (long haul) จากยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง เพิ่มขึ้น”

ขณะเดียวกันสมาคมเสนอให้นำมาตรการ “ช็อปดีมีคืน” (Easy e-Receipt) กลับมาใช้อีกครั้งช่วงปลายปี โดยปรับให้เข้าร่วมได้ง่ายขึ้น ครอบคลุมสินค้าทั่วไปและสินค้าโอทอป ภายในวงเงิน 50,000 บาท คาดว่าจะช่วยหมุนเงินในระบบได้กว่า 70,000 ล้านบาทในช่วงไฮซีซัน พร้อมกันนั้นเร่งปราบปรามธุรกิจนอมินีต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหาร โรงแรม และซุปเปอร์มาร์เกต เพื่อให้เงินหมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง รวมถึงคุมเข้มการนำเข้าสินค้าราคาถูก ไร้มาตรฐาน ที่กระทบต่อผู้ผลิตไทยอย่างไม่เป็นธรรม

สำหรับประเด็นที่น่าห่วง ทั้งการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ, การเดินหน้าใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 115,000 ล้านบาท, ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 นั้น ในส่วนของการเจรจากับสหรัฐฯ แม้ภาครัฐมีข้อเสนอที่รอบคอบ และมุ่งมั่นเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ แต่ไทยควรเตรียมพร้อมรองรับแนวทางการค้ารูปแบบใหม่ และดำเนินมาตรการเข้มงวดป้องกันการสวมสิทธิ์ส่งออก (Transshipment) ที่อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญ

ด้านการใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรมุ่งเน้นการฟื้นฟูกำลังซื้อประชาชนฐานราก และกระตุ้นการบริโภคในประเทศอย่างตรงจุด รัฐควรเร่งลงทุนเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้จากธุรกิจไทยและต่างประเทศ ส่งเสริมการใช้สินค้าและบริการภายในประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก ขณะที่การพิจารณาและอนุมัติงบปี 69 ต้องทำอย่างรัดกุม ไม่ล่าช้า หากกระบวนการสะดุดจะกระทบการเบิกจ่ายและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นต่อการฟื้นตัวของประเทศโดยรวม

“เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการบริหารประเทศตามหลักนิติธรรม พร้อมเดินหน้านโยบายสำคัญอย่างสม่ำเสมอ โดยยึดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักลงทุน”


เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์
นายกสมาคมโรงแรมไทย

การที่นายกรัฐมนตรีถูกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ที่ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจบางเรื่องที่มีความเป็นเอกภาพได้หรือเปล่า และในการประชุมคณะรัฐมนตรีจะตัดสินใจกันอย่างไร

“เป็นภาพที่ดูไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อมีการมองมาจากต่างประเทศ เขาไม่สามารถเข้าใจได้ และจะทำให้ขาดความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ในมุมด้านเศรษฐกิจถือว่าไม่ดีเลย เหมือนรัฐบาลไม่สามารถ kick off หรือมีนโยบายออกมาดำเนินการได้”

ส่วนมุมทางการเมือง มีความรู้สึกว่ารัฐบาลคงอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้ไม่นาน ประชุมสภาก็ล่มเพราะเสียงฝ่ายรัฐบาลปริ่มน้ำ สถานะของนายกรัฐมนตรีอีก 30-60 วันก็จะรู้ผล ซึ่งตอนนั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลง ซึ่งผลอาจจะออกมาใน 1-2 แนวทางว่า ไม่นายกรัฐมนตรีลาออก ก็ยุบสภา ทำให้การทำงานขณะนี้อยู่ในช่วงสุญญากาศ ไม่แน่ใจว่าข้าราชการจะเชื่อฟังมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 69 ไม่ห่วงมากนัก ถ้ารัฐบาลจับมือกันแน่น คุมเสียงในสภาไม่ให้ล่ม ก็จะผ่านจุดร่วมนี้ไปได้ แต่หากมีเกมการเมือง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ส่วนงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาทนั้น ก็ผ่านตามขั้นตอนแล้ว 115,000 ล้านบาท ยังเหลืออีก 40,000 ล้านบาท ก็อยากให้เอาไปใช้ให้ถูกทาง เพราะทุกการลงทุนล้วนมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ที่ห่วงมากคือ การเจรจาภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งรัฐมนตรีพาณิชย์ก็ถูกเปลี่ยนตัว และยังไม่มีข้อยุติในการเจรจาว่าจะทำอะไรได้บ้าง และเมื่อสิ้นสุดเวลาผ่อนปรนวันที่ 9 ก.ค.68 สินค้าไทยจะถูกเก็บภาษีเท่าใด

“ภาวะตอนนี้ นักธุรกิจ นักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่มีความเชื่อมั่น รัฐบาลก็ไม่มีเสถียรภาพ เพราะดูแล้วอยู่ได้ไม่นาน แต่ยังยื้ออยู่ อยากแนะนำให้นายกฯลาออก พรรคร่วมรัฐบาลจะได้พิจารณาหานายกฯคนใหม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมีนายกฯคนใหม่เข้ามา ความเชื่อมั่นจะดีกว่าตอนนี้ ส่วนการยุบสภาจะเป็นทางออกสุดท้าย”.


ทีมเศรษฐกิจ

อ่านคอลัมน์ "สกู๊ปเศรษฐกิจ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ