
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในเรื่องการเดินหน้าเรื่องการเจรจาภาษีกับสหรัฐนั้นขณะนี้คงต้องรอความคืบหน้าและผลของการเจรจาที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เดินทางไปเจรจาเรื่องนี้ที่สหรัฐอยู่ ส่วนกรณีที่เวียดนามได้เงื่อนไขการเรียกเก็บภาษีสำหรับสินค้าที่ส่งไปยังสหรัฐที่ 20% นั้นมีเงื่อนไขเรื่องของการยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเหลือ 0% อยู่ด้วย ซึ่งก็ต้องรอดูเงื่อนไขของเราก่อนว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบเวียดนามอย่างไร
เมื่อถามว่าการแบ่งงานของกระทรวงนั้นในฐานะรัฐมนตรีว่าการจะกำกับดูแลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเองหรือไม่ นายจตุพร บอกว่าตอนนี้ยังไม่ได้หารือกันในส่วนนี้ แต่ทุกอย่างนั้นเดินหน้าตามนโยบายที่รัฐบาลวางไว้ไม่มีปัญหา
สำหรับการแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์เพื่อส่งออกจากประเทศไทยที่ตอนนี้กำลังถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษจากสหรัฐ นายจตุพรกล่าวว่าในเรื่องนี้ได้มอบหมายให้นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ เป็นคนที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ เป็นประธานในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งก็จะทำงานอย่างเต็มที่
สำหรับการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ตนเองมองการแก้ปัญหาร่วมกันของกระทรวงต่างๆ โดยจะนัดหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาหารือกันเพราะเรื่องการแก้ปัญหามีทั้งเรื่องต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เป็นปลายน้ำที่จะเอาไปขาย ดังนั้นต้องแก้ปัญหาไปด้วยกัน
“วันนี้ผมคิดว่าการทำงานวันนี้ต้องไม่มีพรมแดนโดยเราต้องช่วยกันทั้งหมด โดยในช่วง 2 – 3 วันนี้จะเดินทางไปยังต่างจังหวัดเพื่อดูแนวทางการแก้ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ เพื่อวางแผนการแก้ปัญหา ส่วนการเข้ากระทรวงนั้นคาดว่าจะเข้ากระทรวงสัปดาห์หน้า”
เมื่อถามว่านโยบายที่จะดำเนินการเป็นพิเศษนั้นรมว.พาณิชย์ระบุว่า ในวันนี้ต้องเน้นในเรื่องของนโยบายช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ ตรงนี้สำคัญที่สุดโดยจะมีการนำเอาภาคเอกชนมาจับคู่ธุรกิจมาช่วยกันรับซื้อสินค้า ทั้งนี้มองว่าประเทศไทยนั้นมีโอกาสใหม่ในเรื่องของตลาดสินค้า การเจรจาการค้า และการทำ FTA ซึ่งในส่วนนี้กำลังดูอยู่ ที่ต้องทำควบคู่ไปหลายอย่าง ซึ่งงานทุกอย่างเป็นความท้าทายแต่ก็พร้อมที่จะทำเต็มที่
ด้านนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐฯปิดการเจรจาภาษีตอบโต้กับเวียดนามได้สำเร็จ โดยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนาม 20% จากที่ประกาศไว้ 46% และเก็บอีก 40% สำหรับสินค้าที่ส่งผ่านเวียดนามไปสหรัฐฯ ขณะที่เวียดนาม ไม่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะเป็นบรรทัดฐานให้กับประเทศอื่นที่เจรจากับสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯเพิ่งเจรจากับคู่ค้าสำเร็จเพียง 3-4 ประเทศเท่านั้น แม้แต่ญี่ปุ่น ก็ยังปิดตัวเลขภาษีไม่ได้ ส่วนอัตราภาษีของเวียดนามที่ตกลงกันได้ เราไม่รู้ว่าเนื้อหาการเจรจา หรือข้อเสนอของเวียดนามมีอะไรบ้าง
แต่สิ่งที่ต้องติดตามจากนี้ไป คือ ไทยจะได้ปิดดีลตัวเลขภาษีตอบโต้เท่าไร ซึ่งมี 2 ตัวเลขคือ 1. อัตราที่ 20% เท่ากับเวียดนาม ซึ่งทำให้ยังสามารถแข่งขันส่งออกได้ และ 2. อัตราที่สูงกว่า 20% ไม่มาก ซึ่งผู้ส่งออกยังพอรับไหว สำหรับข้อเสนอของไทย 5 ข้อที่ส่งให้สหรัฐฯพิจารณาไปแล้วนั้น คาดว่า ไม่น่าจะดีกว่าข้อเสนอของเวียดนาม แต่รมว.คลังสหรัฐฯ เคยประกาศว่า ข้อเสนอของไทยน่าสนใจ แต่ก็ไม่แน่ใจอีกว่า คณะเจรจาของไทย ที่อยู่ระหว่างการเจรจาที่สหรัฐฯ จะมีข้อเสนอใหม่เพิ่มเติมอีกหรือไม่
“ยังบอกไม่ได้ว่า ภาษีที่จะเก็บจากเวียดนาม 20% จะกระทบการส่งออกไทยหรือไม่ เพราะไทยยังอยู่ในระหว่างการเจรจา ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีเคยประกาศว่า ถ้าประเทศใดไม่มาเจรจา เมื่อพ้นวันที่ 9 ก.ค.นี้ ที่เป็นวันสุดท้ายของการเลื่อนบังคับใช้ภาษีตอบโต้ 90 วันแล้ว ก็จะมีผลทันทีตามที่ได้ประกาศไป แต่ไทยได้เข้าไปเจรจาแล้ว ก็ต้องรอดูผลจะออกมาอย่างไร เชื่อว่า จะไปในทิศทางที่ดี และน่าจะได้ตัวเลขที่น้อยกว่าเวียดนาม โดยดูจากตัวเลขดุลการค้าที่เวียดนามได้ดุลสหรัฐฯมากกว่าไทย ที่แสนกว่าล้านเหรียญฯ แต่ไทย 30,000-40,000 ล้านเหรียญฯเท่านั้น อีกทั้งไทยมีความจริงใจแก้ปัญหาสวมสิทธิสินค้าส่งออกไปสหรัฐ ดังนั้น ต้องรอภาษีไทยก่อนจึงจะประเมินผลกระทบการส่งออกและแนวทางรับมือได้”
ส่วนอัตราภาษีของเวียดนามที่ 20% จะมีผลต่อการย้ายฐานการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยไปเวียดนามหรือไม่นั้น วันนี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ เพราะการย้ายฐานการผลิตไม่ใช่พิจารณาแค่เรื่องภาษี ยังมีปัจจัยและเงื่อนไขอื่นอีกมากที่ต้องพิจารณาเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย