
.แอตต้ากังวลกระทบแผนดูแลท่องเที่ยว
นายธนพล ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในระยะสั้นยังไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว เพราะยังมีนายสรวงศ์ เทียนทองว รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กำกับดูแลเรื่องท่องเที่ยวอยู่และท่านก็ดูแลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะเเดียวกันรัฐบาลก็เพิ่มอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจมากระตุ้นท่องเที่ยว ทางสมาคมแอตต้าก็ส่งผลการโรดโชว์ประเทศต่างๆ ตามที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนให้กับนายกรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในช่วงหลังท่านนายกฯก็ลงมากำกับในเรื่องท่องเที่ยวมากขึ้น ฉะนั้น ในระยะสั้นช่วง 1 เดือนจากนี้ไม่มีความเป็นห่วงเพราะยังไม่มีผลกระทบใดๆ
อย่างไรก็ตาม รู้สึกกังวลในระยะยาวอาจมีคนไปร้องการที่ น.ส.แพทองธาร ไปดำรงตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม อีกว่าไม่มีความเหมาะสมด้วยประการใดก็ตามที่จะส่งผลให้หลุดจากตำแหน่งทางการเมืองไปเลย ซึ่งประเด็นเหล่านี้ที่จะตามมาและเราก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน การเมืองจะเป็นอย่างไรต่อ ตรงนี้ละที่กลัว เพราะอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง นายสรวงศ์ จาก รมว.ท่องเที่ยวไปด้วย ก็จะทำให้แผนงานที่วางไว้ต้องเปลี่ยนแปลงไปที่ทำให้กังวล
.ส.อ.ท.ตกใจชี้ประเทศไทยปัญหารุมเร้า
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีเดียวัน โดยยอมรับว่าเซอร์ไพรส์เล็กน้อย ต่อการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่วนการรับคำร้อง ของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ส่วนการขับเคลื่อนประเทศ ขณะนี้มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ก็คงจะขับเคลื่อนประเทศไปได้ โดยหากมองในแง่ดี ถือเป็นการลดอุณหภูมิความร้อนแรง ทั้งใน และนอกสภาที่ นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ และจะได้มีโอกาสชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ถึงความตั้งใจและเหตุและผลในการคุยกับท่านผู้นำกัมพูชา เพื่อความสบายใจต่อทุกฝ่าย และ เพื่อความเป็นธรรม ต่อนายกรัฐมนตรี
“ผมมองว่า ประเทศ ๆ ยังมีปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาอื่นๆ รุมเร้าอยู่มากมาย ด้วยข้อจำกัดของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เราเห็นทางเลือกครม. ชุดใหม่ ไม่มากนัก แต่หวังว่ารัฐบาลจะช่วยกันทำงานหนัก ด้วยนโยบายที่สร้างสรรค์ ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า มากกว่าการแก้ปัญหาแบบฉาบฉวย หรือ นโยบายประชานิยม ผลงานในเวลาที่เหลืออยู่ จะเป็นเครื่องค้ำยันเสถียรภาพรัฐบาล ผมเชื่อว่าเอกชนทุกภาคส่วนพร้อมจะสนับสนุนนโยบายดีๆ ของรัฐบาล”
.แบงก์ชี้หวั่นการเมืองซ้ำเศรษฐกิจชะงัก
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญเรื่องร้อนๆ อย่างเต็มแรง และเสี่ยงเติบโตช้าลงช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งอสังหาริมทรัพย์ซบเซา นักท่องเที่ยวหาย การบริโภคแผ่ว ตลาดยานยนต์ซึม กำลังซื้ออ่อนแอ สินเชื่อหดตัว อัตราดอกเบี้ยสูง เงินบาทแข็งกระทบส่งออก โดยเฉพาะปัญหาเสถียรภาพการเมือง โดยความไม่แน่นอนทางการเมืองกดดันเศรษฐกิจ 3 เรื่องหลัก หลังนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว คือ 1.ความเชื่อมั่นภาคเอกชนถดถอยชะลอการลงทุน เอกชนอาจระมัดระวังมากขึ้นโดยเฉพาะโครงการที่ต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐ โดยเฉพาะการก่อสร้าง
2.การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจอาจจำกัดขึ้น แม้การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ไม่น่ามีผลต่อการเบิกงบประมาณรายจ่าย โดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากรัฐบาลยังมีอำนาจเต็ม แต่หากการเมืองเดินหน้าไปสู่การยุบสภาฯ ก็อาจกระทบต่องบประมาณในปี 2569 ที่อาจล่าช้ากระทบเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ถึงไตรมาส 2 ปีหน้า
3.ผลกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยห่วงว่าสหรัฐอาจใช้ประเด็นเสถียรภาพการเมืองไทยในการต่อรองเงื่อนไขทางการค้ามากขึ้น สำหรับทางออก รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งสร้างความชัดเจนเรื่องการปรับเปลี่ยนผู้นำประเทศ ด้วยการแสดงวิสัยทัศน์และแผนงานที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้การเมืองกลายเป็นตัวฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงเวลาสำคัญนี้
.ให้โอกาส รมว.พาณิชย์คนใหม่พิสูจน์ฝีมือ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวถึงว่า เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการทำงาของรัฐบาลมากนัก เพราะทุกอย่างยังอยู่ในประชาธิปไตย แต่สิ่งที่กังวล คือ การเจรจาต่างๆ กับต่างประเทศ เพราะปกติจะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม ที่จะเจรจา แต่เชื่อว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยขอให้การเจรจากับสหรัฐฯต้องผ่านไปให้ได้ก่อน อกชนพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาล และรมว.พาณิชย์คนใหม่ เชื่อว่า จะทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีในช่วงภาวะเศรษฐกิจขาลงเช่นนี้ และที่สำคัญ รมว.คนใหม่ ต้องทำงานต่อทันที คงไม่มีช่วงเวลาฮันนีมูน เพราะงานด่วนรออยู่อีกมาก
“สิ่งที่ทั้งกังวล และลุ้นตอนนี้ คือ การหารือกับสหรัฐฯจะออกมาทิศทางใด เพราะสหรัฐฯยืนพื้นเก็บภาษี10% ทุกประเทศ แต่เจรจากับไทยรอบนี้ หวังว่า ภาษีที่สหรัฐฯจะเรียกเก็บจากไทย ต้องไม่สูงกว่าคู่แข่ง หรืออย่างดีที่สุด เท่ากับคู่แข่ง เพราะจะทำให้ไทยสามารถแข่งขันได้ แต่ถ้าการเจรจาออกมาดีมาก คือ โดนเก็บภาษีต่ำกว่าคู่แข่ง จะช่วยให้การส่งออกไทยกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ”