
นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ โฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ได้พิจารณาสถานการณ์การจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ในเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง รวมถึงแนวทางการบริหารความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแอลเอ็นจี เพื่อให้สามารถจัดหาเชื้อเพลิงให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคไฟฟ้าและอุตสาหกรรมของประเทศ โดย กกพ. ได้ให้ผู้นำเข้า (Shipper) ทุกรายในกลุ่ม Regulated Market รายงานข้อมูลสถานการณ์ส่งมอบ LNG รวมถึงแผนการส่งมอบแอลเอ็นจี โดยเฉพาะ LNG Supply ที่มาจากประเทศกาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สรุปได้ว่าผู้นำเข้าทุกรายมีการติดตามสถานการณ์ร่วมกับผู้ขายอย่างใกล้ชิด และในปัจจุบันยังไม่มีผลกระทบต่อการส่งมอบแอลเอ็นจีแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน กกพ. ได้มีการหารือแนวทางรองรับกรณีที่มีการปิดช่องแคบฮอร์มุซและไม่สามารถรับแอลเอ็นจีจากประเทศกาตาร์ไว้ดังนี้ 1. เพิ่มการจัดหาก๊าซธรรมชาติทางท่อจากอ่าวไทย รวมถึงแหล่ง JDA ของมาเลเซีย และเมียนมา โดยเพิ่มการเรียกรับก๊าซธรรมชาติ การบริหารจัดการปริมาณก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มตามความยืดหยุ่นของสัญญา (Swing Gas) ให้เต็มศักยภาพ
2. จัดหา Spot LNG ส่วนเพิ่มจากผู้นำเข้า โดยขอให้ผู้นำเข้าทุกรายไปหารือคู่ค้าแอลเอ็นจีของตนเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับเหตุฉุกเฉิน 3. ในกรณีที่ไม่สามารถจัดหาแอลเอ็นจีในราคาตลาดจรเพิ่มเติมได้เพียงพอ หรือกรณีที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าด้วยแอลเอ็นจีในราคาตลาดจรสูงกว่าการผลิตไฟฟ้าด้วยน้ำมัน ศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าอาจมีการพิจารณาสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมัน
ล่าสุด ปัจจุบัน ปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลวคงคลัง (LNG Inventory) ของประเทศอยู่ในระดับสูง และแผนการส่งมอบแอลเอ็นจีจากผู้นำเข้าทุกรายพบว่ายังไม่มีผลกระทบ โดยประเทศไทยมีการจัดหาแอลเอ็นจีทั้งในรูปแบบสัญญาแบบระยะยาว (Term) และสัญญาแบบรายเที่ยวเรือ (Spot) รวม 12 ล้านตันต่อปี โดยในส่วนของสัญญา Term มีการจัดหาสัญญาระยะยาวจากประเทศกาตาร์ ปริมาณ 2 ล้านตันต่อปี โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะต้องมีการส่งมอบแอลเอ็นจีจากประเทศกาตาร์ รวม 11 ลำเรือ ซึ่งต้องแล่นผ่านช่องแคบฮอร์มุซด้วย
ด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าเดือนมิ.ย. 68 มีปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้าหลัก 2. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3. ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ 4. ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มมีแนวโน้มลดลงจากผลผลิตส่วนเกิน 5. การแข่งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น และ 6. ความผันผวนและการแข็งค่าของค่าเงินบาท