
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ณ เดือนมิ.ย. 68 ศูนย์ฯ ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ใหม่ เหลือขยายตัวเพียง 1.7% จากที่คาดการณ์เดิมเดือนพ.ย. 67 คาดขยายตัว 3.0% เพราะมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าสำคัญ ได้แก่ มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ต้นทุนการผลิตสินค้าและค่าขนส่ง, ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา และเสถียรภาพของรัฐบาล
รวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นช้า อัตรากำลังการผลิตยังต่ำเพียง 65.1%, การลงทุนภาคเอกชนติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4, การส่งออกครึ่งปีหลังเสี่ยงลดลง เพราะสหรัฐฯ เร่งนำเข้าช่วงครึ่งปีแรกแล้ว, นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง และยังคาดการณ์ว่า หนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะสูงขึ้นเป็น 87.4%
“เป้าจีดีพีใหม่ที่ 1.7% ประเมินภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แย่นัก คือ สหรัฐฯ อาจประกาศภาษีไทย 15-20% ความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล และปัญหากับกัมพูชาคลี่คลายได้เร็ว รวมทั้งนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อได้จบครบวาระ ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและเบิกจ่ายงบประมาณได้ 50% ในปีนี้ ขณะที่การส่งออกทั้งปีเติบโตได้ 2.5%”
แต่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ มีแนวโน้มผันผวนจากเป้าหมาย 1.7% ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี คือ กรณีแย่ที่สุด จีดีพีอาจโตได้เพียง 0.9% หากการเมืองไทยไร้เสถียรภาพ หรือนายกฯ ยุบสภา ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้แค่ 25% ในปีนี้, สหรัฐฯ เก็บภาษีไทย 25-30% และชายแดนกัมพูชาตรึงเครียดจนต้องปิดด่าน 100% ตลอดปีนี้ และกรณี 2 ดีที่สุด จีดีพีปีนี้อาจเติบโตได้ 2.3% หากนายกฯ อยู่บริหารประเทศจนถึงสิ้นปีนี้ ทำให้เบิกจ่ายงบได้ 75% ในปีนี้, สหรัฐฯ เก็บภาษีไทยเพียง 10% รวมทั้งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และอิสราเอล-อิหร่าน จบเร็ว
“เพื่อควบคุมไม่ให้เศรษฐกิจไทยผันผวนมาก รัฐบาลจะต้องเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ, เร่งรัดการเบิกจ่ายงบ, ปลดล็อกการให้สินเชื่อ เพราะขณะนี้สินเชื่อใหม่ขยายตัวต่ำกว่าเงินฝาก เนื่องจากธนาคารเข้มงวดการปล่อยกู้ ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรหารือร่วมกับธนาคารพาณิชย์เพื่อผ่อนเกณฑ์การให้สินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินต่อได้, แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนและกระตุ้นการลงทุนเอกชน”
สำหรับผลกระทบของปัจจัยเสี่ยงแต่ละประเด็นที่มีผลต่อจีดีพีไทยนั้น กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หากสถานการณ์คลี่คลายเร็วภายใน 1 เดือน มูลค่าการส่งออกไทยจะหายไป 11,659 ล้านบาท ฉุดให้จีดีพีลดลง 0.06% แต่รุนแรง และปิดด่านจนถึงสิ้นปีนี้ มูลค่าส่งออกไทยจะหายไป 69,952 ล้านบาท จีดีพีลดลง 0.38%
ส่วนกรณีคลิปเสียงหลุดของนายกฯ ประเมินผลกระทบเป็น 3 กรณี คือ 1. หากนายกฯ อยู่ต่อตลอดทั้งปีนี้ จะทำให้ใช้งบประมาณได้ต่อเนื่อง และสามารถผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 115,375 ล้านบาท ได้ จะทำให้จีดีพีลดลงเพียง 0.06% 2. มีนายกฯ คนใหม่ภายใต้พรรคแกนนำเดิม อาจทำให้งบปี 69 ล่าช้าออกไป 2-3 เดือน จีดีพีอาจลดลง 0.20% และ 3. นายกฯ ยุบสภา อาจทำให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า 3-6 เดือน ต้องเริ่มขบวนการงบปี 69 ใหม่ คาดว่า จีดีพีจะลดลง 0.66%
นายธนวรรธน์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยว่า คาดว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ตลอดปีนี้ เพราะการลาออกในช่วงนี้ อาจไม่เป็นผลดี และอาจไม่สามารถพลิกฟื้นคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยกลับคืนมาได้ และที่สำคัญ การลาออกขณะนี้ ทำให้หาเสียงได้ยาก เพราะรัฐบาลจะถูกมองว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหา หรือพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้ แต่หากอยู่ต่อและสามารถแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาได้ จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยก็จะดีขึ้น และน่าจะเหมาะสมในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าได้ พรรคเพื่อไทยจึงต้องการเป็นแกนนำและตำแหน่งนายกฯ
“แต่คงต้องจับตาการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 มิ.ย. นี้ว่า จะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากน้อยแค่ไหน จะสามารถสั่นคลอนคะแนนนิยมของรัฐบาลได้ขนาดไหน อีกทั้งต้องดูว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หากหยุดปฏิบัติหน้าที่ รองนายกฯ อาจเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทน ภายใต้นายกฯ คนเดิม ซึ่งจะทำให้งบประมาณยังขับเคลื่อนได้ต่อ ส่วนจะถูกถอดออกจากตำแหน่งหรือไม่ ขั้นตอนนี้คงใช้เวลาอีกสักระยะ”