
เข้าสู่โค้งสุดท้ายของศึกชิงเก้าอี้ "ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย" คนใหม่ หลังจากที่ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ ธปท. ลำดับที่ 24 ใกล้จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งลงในสิ้นเดือนกันยายน ปี 2568 และสิ่งที่ช่วงนี้กำลังเป็นประเด็นพูดคุยและตั้งคำถามกันอย่างล้นหลามคือ ใครจะเป็นผู้ว่าฯ คนต่อไป?
ในตอนนี้มีการคัดเลือกจากผู้ท้าชิง 6 คน เหลือเพียงแค่ 2 คนสุดท้าย และหนึ่งในนั้นคือ วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นที่สนใจและถูกจับตามองจากคนไทยว่าเขาจะเป็นคนที่มาคุมระบบการเงินของประเทศไทยหรือไม่
วิทัย รัตนากร อายุ 54 ปี เติบโตมากับครอบครัวที่มีเศรษฐกิจและกฎหมายเป็นพื้นฐานความรู้ เพราะเขาเป็นลูกชายของ ศิริลักษณ์ รัตนากร อดีตกรรมการผู้จัดการ (เอ็มดี) หญิงคนแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงปี 2525–2528 กับ โสภณ รัตนากร อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งส่งผลให้เขามีความรู้และทักษะในการบริหารเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ประวัติการศึกษาของวิทัยเองก็น่าสนใจเช่นกัน โดยเขามีดีกรีปริญญาตรี 1 ใบ และปริญญาโทมากถึง 3 ใบ ได้แก่
หลายคนอาจรู้จักวิทัยในฐานะผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แต่รู้หรือไม่ว่านั้นไม่ใช่แค่ตำแหน่งงานเดียวที่เขามีในปัจจุบัน โดยอ้างอิงจากข้อมูลของธนาคารออมสินที่มีการเปิดเผยเอาไว้ ดังนี้
ซึ่งทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า วิทัยมีความรู้และวิสัยทัศน์ที่สามารถคุมนโยบายการเงินของประเทศไทย ให้เศรษฐกิจสามารถพัฒนาและเติบโตได้จากประสบการณ์การทำงานที่เขามี
วิทัย เป็นกำลังหลักในการผลักดันให้ธนาคารออมสินก้าวเข้าสู่บทบาทธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ที่จะสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและการเงินที่ดียิ่งขึ้นของสังคมไทย โดยวิทัยเคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยว่า สถานการณ์ในตอนนี้ ไทยกำลังอยู่ในช่วงซบเซา ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโต ต้องทำงานควบคู่กันอย่างใกล้ชิด ทั้งมาตรการการเงิน มาตรการทางการคลัง และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนคนไทยกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน
"ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยขาดความสมดุล สถาบันการเงินแข็งแรงมาก มีกำไร ขณะที่ภาคธุรกิจมีหนี้สิน ปิดกิจการ ยอดหนี้ครัวเรือนสูง คนยากจน มีความเหลื่อมล้ำสูง โดยส่วนตัวคิดว่าภาวะลักษณะนี้ไม่ใช่ภาวะปกติ และยังมีหลายปัจจัยรุมเร้ามาก ดังนั้นการลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีหลากหลายมาตรการมาเสริมลักษณะเป็นแพ็กเกจ และต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย" วิทัยกล่าว
สะท้อนให้เห็นว่า ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ความสามารถในการมองระบบอย่างเชื่อมโยงและเข้าใจกลไกสังคมของผู้นำทางการเงินจึงยิ่งทวีความสำคัญ
นั่นจึงทำให้ผู้ท้าชิง 2 คนสุดท้ายถูกจับตามองจากคนไทยทั้งประเทศ ในฐานะบุคคลที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศต่อไปอีก 5 ปี
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney