
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมี 50 หน่วยที่ได้รับงบประมาณ รวม 481 โครงการ และ 8,939 รายการ ภายในกรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท จะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% โดยหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณต้องรีบทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภายใน 30 ก.ย. 2568 และเบิกจ่ายเงินให้เสร็จก่อนวันที่ 30 ก.ย. 2569 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นแต่ได้ผลในระยะยาว เนื่องจากเม็ดเงินที่ลงในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศไทย
“วงเงินที่เหลืออีก 41,625 ล้านบาทที่จะเสนอตามมาเป็นโครงการที่ท้องถิ่นเสนอ แต่ในภาวะนี้ที่มีสงครามในตะวันออกกลาง และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบกับภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาวงเงินที่เหลือมารองรับเรื่องเหล่านี้”
นายพิชัย กล่าวต่อไปว่า ภายในกรอบวงเงินดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 34 โครงการ 7,986 รายการ รวม 85,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 1.โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ 8 โครงการ 2,881 รายการวงเงิน 39,136 ล้านบาท ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 192.22 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 4,791,974 ไร่ 906,803 ครัวเรือน สร้างการจ้างงานได้ 73,807 คนต่อเดือน 2.โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 26 โครงการ 5,105 รายการ รวม 45,864 ล้านบาท พัฒนาถนนในภาพรวมได้ 417 กิโลเมตร ซ่อมบำรุง ปรับปรุง และยกระดับเส้นทางได้ 1,689 แห่ง อำนวยความปลอดภัยได้ 3,604 แห่ง และสร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน 2.ด้านการท่องเที่ยว 420 โครงการ 922 รายการ รวม 10,053 ล้านบาท คาดว่าจะสนับสนุนให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 2,766,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 55,059 ล้านบาท และมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงเส้นทางท่องเที่ยว 7.6 ล้านคน
3.ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล 10 โครงการ 10 รายการ รวม 11,122 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเกษตร วงเงิน 160 ล้านบาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี ช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 320,000 บาทต่อปี ด้านแรงงาน 10,000 ล้านบาท ให้สำนักงานประกันสังคมช่วยบรรเทาผลกระทบให้แรงงานและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ ก่อนเป็นลำดับแรก ผ่านการให้สินเชื่อให้สถานประกอบการกว่า 1,700 แห่ง สนับสนุนการจ้างงาน 100,000 คน และด้านดิจิทัล 962 ล้านบาท พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ กษตรกรรม และการให้บริการประชาชน กว่า 20,000 ราย
4.ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ 17 โครงการ 21 รายการ 9,201 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) 4,000 ล้านบาท ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา วงเงิน 3,641 ล้านบาท และพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน 1,560 ล้านบาท
รมว.คลัง กล่าวว่า ผลต่อเศรษฐกิจจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้พิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ ในสัดส่วนที่สูงกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการกระจายวงเงินงบประมาณมีความทั่วถึง ทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ ได้รับวงเงินมากกว่าจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวสูงกว่า รวมทั้งจังหวัดที่มีขนาดของเศรษฐกิจเล็ก ทั้งหมดนี้สนับสนุนให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน วงเงินการจ้างงาน 34,008 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของเม็ดเงินรวมที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 115,375 ล้านบาท
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทุกโครงการที่ผ่านการพิจารณาได้ดูแล้วเป็นโครงการที่พร้อมเดินหน้าได้ทันที ขณะที่นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า เมื่อทุกโครงการมีความพร้อมอยู่แล้วจึงอยากให้หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณเร่งใช้จ่ายเงินในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2568 เพื่อให้ผลที่มีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจเกิดขึ้นในปี 2568 อย่างเต็มที่
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ในส่วนของกระทรวงคมนาคมได้รับการจัดสรรงบประมาณรวม 48,757 ล้านบาท เพื่อมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจใน 6 หน่วยงานหลัก กรมทางหลวง 32,188 ล้านบาท, บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) 14,800 ล้านบาท, กรมท่าอากาศยาน (ทย.) 765.98 ล้านบาท, องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 42 ล้านบาท, การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 1,020.864 ล้านบาท, กรมทางหลวงชนบท (ทช.) 14,725.09 ล้านบาท