
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายผ่านบันทึกวีดิทัศน์ ในพิธีเปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจําปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน : จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” ว่า ให้เน้นย้ำ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การเสริมสร้างและต่อยอดจุดแข็งของประเทศ 2.การแสวงหาและช่วงชิงโอกาสใหม่ ๆ ภายใต้ความท้าทายได้อย่างฉับไวทันท่วงที ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก โดยเฉพาะเร่งจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTAs) กับประเทศหรือกลุ่มประเทศเป้าหมาย เพื่อรักษาโอกาสในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว พร้อมใช้โอกาสนี้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ ผ่านการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญที่ โลกอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงสร้างอำนาจและระเบียบโลก แบบหลายขั้วอำนาจ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ อาจเห็นความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเดิม กับมหาอำนาจใหม่ ๆ ท้าทายโลกกลับสู่ภาวะไร้เสถียรภาพ ประเทศต่าง ๆ ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง
ดังนั้น จึงขอให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ร่วมกันมอง และประเมิน ผลกระทบในภาพใหญ่ และระยะยาวให้กว้างกว่าการรับมือกับมาตรการตอบโต้ทางภาษีในปัจจุบัน และร่วมกันปรับเป้าหมายและกลยุทธ์ การดำเนินนโยบายต่างประเทศให้ชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทโลกปัจจุบัน เพื่อขับเคลื่อนการต่างประเทศ นำพาประเทศไทยไปอยู่ในตำแหน่งจุดยืนที่จะสามารถแสวงหาประโยชน์สูงสุด ภายใต้การเมืองโลกปัจจุบัน และอนาคต
นายมาริษ กล่าวย้ำว่า หลักการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ที่รัฐบาลใช้ขับเคลื่อนในปัจจุบัน อาทิ การรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ กับมหาอำนาจหลัก และการเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจรอง เพื่อกระจายความเสี่ยง รักษาจุดแข็งของไทยที่ไม่เลือกข้าง อยู่บนพื้นฐานของการปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติอย่างยืดหยุ่น, การมีส่วนร่วมในการกำหนดระเบียบโลกใหม่ในประเด็นต่าง ๆ และของกลุ่มต่าง ๆ เช่น OECD และ BRICS เพื่อเป็นผู้เชื่อมกลุ่มและขั้วอำนาจต่าง ๆ และเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ และผู้ปกป้องกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นจุดเปราะบาง โดยในช่วงที่ผ่านมา บทบาทของไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมา และการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากประเทศต่าง ๆ
รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า การใช้นโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ผ่านการเร่งส่งเสริมเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ หรือ GDP growth engines ที่เป็นสินค้าในอุตสาหกรรมใหม่ (S Curve) และเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ให้มีปริมาณการผลิต เพื่อใช้ในประเทศ นำเข้า และส่งออกมากขึ้น อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ , AI, EV, Data Center, Robotic เป็นต้น โดยรัฐบาลเน้นผ่านการดึงดูดการลงทุนใน 7 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, แบตเตอรี่ไฟฟ้า และยานยนต์ไฟฟ้า ฐานชีวภาพ (BCG) ดิจิทัลและสร้างสรรค์ และศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ควบคู่ไปกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ที่ต้องเร่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน