
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ภายหลังเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 68 ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ตัดสินว่า การออกคำสั่งประธานาธิบดีกำหนดภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ ภายใต้ พ.ร.บ.อำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต ก้าวล่วงรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ เพราะรัฐธรรมนูญให้อำนาจรัฐสภาในการกำหนดกฎเกณฑ์การค้ากับประเทศอื่นๆ แต่ไม่สามารถใช้อำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดีได้ ส่งผลให้คำสั่งประธานาธิบดีในการเก็บภาษีจากประเทศต่างๆ เป็นโมฆะ ซึ่งอาจเป็นข่าวดีกับคู่ค้าของสหรัฐฯ ทุกประเทศ
อย่างไรก็ดี ทราบข่าวว่า ขณะนี้ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งหากผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์และศาลสูงเห็นพ้องกับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศ จะทำให้คำสั่งประธานาธิบดีที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ ไม่มีผลทางกฎหมาย หากสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีไปแล้ว อาจต้องคืน แต่หากศาลอุทธรณ์และศาลสูงเห็นแย้ง โดยให้คำสั่งประธานาธิบดีเห็นชอบด้วยกฎหมาย การเก็บภาษีตอบโต้จะยังเดินหน้าต่อไป
ดังนั้น ไทยจะรอดูผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์และศาลสูงว่าคำสั่งประธานาธิบดีจะเห็นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ระหว่างนี้ รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลสหรัฐฯ ตามแผนเดิมต่อไป โดยขณะนี้สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง การพิจารณาของศาลมีโอกาสพลิกผันได้ เนื่องจากตุลาการศาลสูงเสียงส่วนใหญ่มาจากการแต่งตั้งโดยพรรครีพับลิกัน ที่เป็นพรรคเดียวกับโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่า แม้การแต่งตั้งตุลาการศาลสูงจะมาจากพรรครีพับลิกัน แต่หลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งมานานแล้ว และอาจมีความเห็นสอดคล้องกับทรัมป์ทุกคน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ถึงกรณีศาลของสหรัฐอเมริกาสั่งชะลอการดำเนินการมาตรการภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้รมว.คลัง และคณะที่ปรึกษาไปคุยกันที่บ้านพิษณุโลกว่า เมื่อมีคำสั่งศาลสหรัฐฯ ออกมาเช่นนี้ จะต้องปรับเปลี่ยนรองรับกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง ก็ต้องเอามาคิด ให้ตอบยังตอบไม่ได้ เพราะเพิ่งเกิดเหตุขึ้นสดๆ ร้อนๆ แต่ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณ ทางรัฐบาลก็ยินดีรับฟังข้อเสนอการปรับเปลี่ยนงบประมาณที่เป็นประโยชน์จากทุกพรรคการเมือง
ด้านนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจการคลังของไทยประจำเดือนเม.ย. 68 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติชะลอตัวลง ขณะที่จำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยยังขยายตัวได้ ทั้งนี้ ยังจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -5.0% และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 55.4 จากระดับ 56.7 ในเดือนก่อน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง รวมถึงปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 22.8% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 8.7%
อย่างไรก็ดี เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัว ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน
“สถานการณ์การท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อและทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่าง ๆ ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกที่ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง”