
ในวันที่ผู้คนยังรู้สึกว่าข้าวของแพง รายได้ไม่พอใช้ และอนาคตเศรษฐกิจยังมืดมัว แต่วานนี้ (20 พ.ค.2568) รัฐบาลนำโดย “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาประกาศด้วยน้ำเสียงมั่นใจ หลังจาก สภาพัฒน์ฯ รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1/2568 ว่าเติบโตดีเกินคาด ที่ 3.1%
สร้างประวัติศาสตร์ไทย ภายใต้รัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ที่เข้ามาบริหารประเทศ ผลักดัน “GDP” สามารถเติบโตได้เกิน 3% ติดต่อกัน 3 ไตรมาส โดยรัฐบาลยังชี้ว่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียง 7 ครั้งในประเทศไทย ขณะสถิติสูงสุดของประเทศ เกิดขึ้น ในรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ GDP โตกว่า 3% ติดต่อกัน ถึง 22 ไตรมาส
อย่างไรก็ดี ทันทีที่ปรากฎพาดหัวข่าวใหญ่ จากหลายหลากสื่อ มีนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และ นักลงทุนหลายราย ออกมาแสดงความคิดเห็นในทิศทางเดียวกัน
บนความกังวล ว่าการสื่อสารที่ผิดเพี้ยนของรัฐบาล จะสร้างความสับสนให้กับประชาชน เพราะตัวเลขที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด กับเบื้องหลังตัวเลข GDP ที่ควรรู้อย่างแท้จริง
สำหรับ GDP Growth หรือ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ คือ ดัชนีชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ที่บอกถึงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศในแต่ละช่วง มีการเติบโตเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าใด
และยังหมายถึง มูลค่ารวมของสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตได้ในประเทศช่วงนั้นๆ เช่น หนึ่งไตรมาส หรือหนึ่งปี นึกภาพง่าย ๆ ว่า ทุกครั้งที่เราซื้อของ กินข้าว เข้าร้านเสริมสวย จ่ายค่าไฟ ค่าเดินทาง หรือบริษัทผลิตสินค้า ให้บริการ ก็ถูกนับรวมอยู่ใน GDP ด้วย
หรืออีกนัย พูดง่าย ๆ มันคือ ค่าความเปลี่ยนแปลงของความมั่งคั่งรวมทั้งประเทศ
สำหรับข้อมูลที่รัฐบาลเผยว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตกว่า 3% ติดต่อกัน 3 ไตรมาสแล้วนั้น ล่าสุด ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด ได้โพสต์ข้อความ ในบัญชีเฟซบุ๊ก Dr. Nuch Tantisantiwong #เศรษฐศาสตร์วันละนิด ซึ่งอธิบายเรื่องดังกล่าวไว้อย่างเข้าใจ เพื่อตอบคำถามสังคมว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตดีจริงหรือไม่
โดยใจความระบุว่า ...
การคำนวณอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจทำได้หลายแบบ
แบบที่ 1. เทียบการเติบโตระหว่างไตรมาสเดียวกันของแต่ละปี คือ เทียบไตรมาสนี้กับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เราเรียกว่า Year-on-Year หรือ YoY GDP Growth เป็นการวัดการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะเวลา 1 ปี
ตัวเลขนี้ของไทยอยู่ที่
นี่เอง ที่ทำให้รัฐบาล บอกว่าโตเกิน 3% ติดต่อกัน 3 ไตรมาส
ถ้าดูจากตัวเลขก็ไม่ผิด แต่ความหมายผิด เพราะตัวเลข YoY มันบอกถึงการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว การวัดแบบนี้ ตัวเลขจะสูงหรือต่ำอยู่ที่ตัวเลขและเศรษฐกิจในปีฐานที่เอามาเปรียบเทียบ
เช่น ถ้าคุณคำนวณ YoY GDP growth เทียบระหว่างปี 2022 กับปี 2021 (ระบาดโควิดรอบ alpha delta omicron คนตายเกลื่อน จนต้อง lock downช่วงไตรมาส 2-3) คำนวณยังไง YoY GDP growth ปี 2022 ในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2022 ก็จะสูง
ก็อย่างที่คนในรัฐบาลออกมาบอกว่า GDP โตเกิน 3% เคยเกิดขึ้นแค่ในตอนสมัยนายกทักษิณ ก็เพราะคุณทักษิณเป็นนายกหลังช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งหลังเปลี่ยนระบบค่าเงินเป็นการลอยตัวแบบจัดการ เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุด ชนิดมีคนกระโดดตึกตาย ล้มละลายรายวัน
เมื่อเงินบาทจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ กลายเป็น 50 บาทต่อดอลลาร์ ในปี 1997 เศรษฐกิตกต่ำในปี 1998-1999 แต่การส่งออกก็เริ่มดีขึ้นและพยุงประเทศไปได้ ประกอบกับการคลังก็รัดเข็มขัด จนเศรษฐกิจเริ่มนิ่งอยู่ในจุดต่ำสุดของ wave ก่อนค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 2000 จนพอจะมีเงินมาใช้จ่ายในสมัยคุณทักษิณเป็นนายกในปี 2001 และเมื่อแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ขายเอาเงินไปจ่ายหนี้ ในปีต่อๆ มา ก็ทำให้ภาระการคลังผ่อนคลาย
Wave ของเศรษฐกิจเมื่อลงไปถึงจุดต่ำสุด ก็จะตามด้วยการฟื้นตัว
คุณทักษิณเข้ามาในปี 2001 จังหวะที่เพิ่งผ่านจุดต่ำสุดมาได้ไม่กี่ไตรมาส ตัวเลข GDP ในปี 2000 ยังต่ำเพราะเพิ่งเริ่มฟื้นตัว พอเอา GDP ในปีที่คุณทักษิณเป็นนายกเปรียบเทียบกับตัวเลขในไตรมาสเดียวกันของปี 2000 ย่อมมีอัตราการเติบโตแบบ YoY สูงติดต่อกันหลายไตรมาส ก็เพราะฐานตัวเลขมันยังอยู่ในช่วง curve ต่ำติดประวัติศาสตร์ชาติ
แบบที่ 2. เทียบการเติบโตระหว่างไตรมาส คือ เทียบไตรมาสนี้กับไตรมาสที่แล้ว เราเรียกว่า Quarter-on-Quarter หรือ QoQ GDP Growth เป็นการวัดการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะเวลา 1 ไตรมาส
ตัวเลขนี้ของไทยอยู่ที่
นี่แสดงว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตทุกไตรมาสมาตั้งแต่ Q1 2024 แต่ว่าการเติบโตมันน้อย ถ้าจับบวกกันหารเฉลี่ย 4 ไตรมาสล่าสุด ก็โตไตรมาสละ 0.775%
ในขณะที่
โดยตัวเลขนี้ไม่ได้เทียบกับตัวเลขเศรษฐกิจในปีที่มีการ lock down เลย หรือก็คือเป็นการเติบโตรายไตรมาสในสถานการณ์ปกติ
ตัวเลข 0.7% ของไตรมาส 1 ที่ผ่านมา หมายถึงในช่วงเวลา 3 เดือนแรกของปีนี้ เศรษฐกิจเติบโต 0.7% อานิสงค์จากการเร่งนำเข้าสินค้าของฝั่งอเมริกาเพื่อเลี่ยงเจอภาษีสูงในอนาคต ทำให้ส่งออกเราขยายตัว และมาตรการช๊อปลดหย่อนภาษี
แบบที่ 3 คือ annualised GDP growth หรือ ก็คือการเอาแบบที่ 2 มาหาค่าอัตราการเติบโตเทียบเท่า 1 ปี โดยสมมติว่าการเติบโตในแต่ละไตรมาสเท่ากัน
เช่น Q1 2025 โต 0.7% สมมติว่าเศรษฐกิจจะโต 0.7% ต่อไตรมาส เท่านี้ไปในแต่ละไตรมาสตลอดปีนี้ อัตราการเติบโตทั้งปี คือ 0.7% x 4 = 2.8% ต่อปี
เราเรียกการคำนวณอัตราการเติบโตที่แปลงค่าเป็นต่อปีนี้ว่า annualised และเรียกอัตราอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประเภทนี้ว่า annualised GDP growth
แต่อย่างที่รู้กันว่า การส่งออกของไทยน่าจะโดนผลกระทบจากภาษีทรัมป์ไม่มากก็น้อย แถมด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะลดลงเมื่อเศรษฐกิจเค้าชะลอตัวจากปริมาณการค้าโลกที่ลดลง แล้วเจอกับภาระการคลังที่เพิ่มตามหนี้ ความจำกัดของงบประมาณที่จะใช้พยุงเศรษฐกิจได้ ธุรกิจก็อาจจะมีที่สภาพคล่องลดลง
ทั้งหมดนี้ ทำให้ในไตรมาส 2, 3, 4 QoQ GDP Growth มีแนวโน้มจะลดลงไปเรื่อยๆ ทั้งปี GDP growth ก็น่าจะอยู่ที่ 1.8-1.9% ถ้าสถานการณ์ไม่แย่นัก
ทั้งนี้ ดร.นงนุช ยังระบุว่า แรงกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ยังมาจากการที่ รัฐแจกเงินไปร่วม 1.745 แสนล้านบาท ภายในเวลาน้อยกว่า 6 เดือนช่วง Q4 2024- Q1 2025 คิดเป็นราวๆ 1% ของ GDP ทั้งปี
ซึ่งอาจเป็นคำตอบได้ว่า การแจกเงินไม่ได้ช่วยให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง เพราะผลสุทธิของการแจกเงินมันขึ้นอยู่กับว่าเอาเงินมาจากไหน เอาไปใช้ซื้อไปจ่ายอะไร และมันเป็นการใช้เพิ่มขึ้นจริงมั้ยหรือแค่ใช้แทนที่เคยต้องจ่ายนั่นเอง ท้ายที่สุด ตัวเลข GDP Growth หรือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ควรเลือกใช้ให้ถูก ถึงจะมีความหมาย
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney