ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงการคลัง ได้จัดเสวนาในงาน MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย หัวข้อ “ย้อนเวลากับเรื่องเล่าคนคลัง” กับ 3 อดีตปลัดกระทรวงการคลัง สู่ปัจจุบัน ได้แก่ นายอรัญ ธรรมโน, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล, นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ และนายลวรณ แสงสนิท
โดยนายอรัญ กล่าวว่า อยากจะเสนอให้กระทรวงการคลัง ทำคือ การตั้งเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ต่ออัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ด้วยการเพิ่มฐานการจัดเก็บภาษี ลดการขาดดุล โดยสัดส่วนที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 18-20% ของจีดีพี และการเติบโตทางเศรษฐกิจควรอยู่ที่ 5% เพื่อจัดทำงบประมาณแบบสมดุลได้ ในสมัยที่เป็นปลัดกระทรวงการคลัง มีการจัดทำงบประมาณ สมดุลติดต่อกัน 3 ปี และตั้งงบลงทุนได้เกิน 30% ของงบประมาณรายจ่าย ติดต่อกัน 3 ปี ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ต่ำลงเรื่อย ๆ เห็นตัวเลข
ล่าสุดของธนาคารโลก เหลืออยู่ 3.5% นักเศรษฐศาสตร์บางคน บอกเหลือ 2% หากศักยภาพเศรษฐกิจไทย เติบโตในระดับนี้ แล้วจ่ายเงินเยียวยา หากจ่ายเงินมากๆ ในระบบ สิ่งท่ีจะปรากฏออกมาเป็นเพียงเงินเฟ้อ และเงินไหลออกนอกประเทศ หากผลักดันให้เศรษฐกิจโตได้ 5% ประเทศน่าจะเจริญได้ดีกว่านี้
ขณะที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวว่า สิ่งที่ทำ ในยุคนั้น คือการแยกบทบาทระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแยกบทบาทการคลัง ออกจากการเงินชัดเจน และจัดทำกฎหมายของธปท.ด้วย แม้การทำงานธปท.กับกระทรวงการคลัง จะควบคู่กัน แต่เดินคนละทางเสมอมา และประเทศไทย ยังต้องกู้เงินจากธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ส่วนนายสถิตย์ กล่าวว่า เมื่อตอนเป็นปลัดกระทรวงการคลัง ได้เผชิญกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ต้องกู้เงินมาแจกคนละ 2,000 บาท เป็นแบบเช็คช่วยชาติ และใช้เงิน1.9 ล้านล้านบาท จนเกิดโครงการไทยเข้มแข็ง มีการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่หลากหลาย ทำให้โครงสร้างพื้นฐานไทยดีขึ้นมาก ถือว่า การบรรเทาระยะสั้น และฟื้นฟูระยะปานกลาง ทำให้จีดีพีฟื้นตัวในปี 2552 เป็นเติบโต 7.5%
สำหรับนายลวรณ กล่าวว่า ปัจจุบันการจัดเก็บรายได้รัฐอยู่ที่ 12-13% ต่อจีดีพี โดยจะพยายามปรับโครงสร้างภาษี เพิ่มฐานการจัดเก็บภาษีให้ได้ 18% ของจีดีพี เท่ากับเพิ่ม 5% คิดเป็นเงิน 800,000 ล้านบาท เท่ากับงบประมาณขาดทุนปี2568 ดังนั้น หากเพิ่มการจัดเก็บรายได้เป็น 18% จะทำให้จัดทำงบประมาณสมดุลได้
จึงเป็นเรื่องท้าทายมาก วิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา กระทรวงการคลัง มีบทบาทสำคัญทำให้ฝ่าวิกฤตมาได้ เพราะข้าราชการมีคุณภาพ ทุกคนยึดมั่นในหลักการความถูกต้อง ในช่วงโควิด-19 ได้ออกเงินเยียวยาคนตกงานคนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เป็นเรื่องท้าทาย เป็นโจทย์ท่ียากมาก แต่กระทรวงการคลังทำได้และฝ่าวิกฤตมาได้ โดยไม่มีการทุจริต ถือเป็นความภูมิใจของคนคลังมาก