สศค.หั่นประมาณการจีดีพีเหลือ 2.1% รองนายกฯพิชัยเร่งลดหนี้ครัวเรือนเล็งทบทวนแจกเงินหมื่น

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

สศค.หั่นประมาณการจีดีพีเหลือ 2.1% รองนายกฯพิชัยเร่งลดหนี้ครัวเรือนเล็งทบทวนแจกเงินหมื่น

Date Time: 2 พ.ค. 2568 07:00 น.

Summary

ภาษีทรัมป์พ่นพิษ สศค.ตัดใจหั่นประมาณการจีดีพีปีนี้เหลือ 2.1% ด้านรองนายกฯพิชัย เดินหน้าแก้หนี้เฟสใหม่ ชง ครม. ขยายโครงการคุณสู้เราช่วย 10,000 บาท ส่อทบทวนแจกเงิน 10,000 บาท

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในงานเป็นประธานเปิดงาน “MOF Journey 150 ปี เส้นทางการคลังไทย” โอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงการคลัง ครบรอบ 150 ปี ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 68 ว่าในเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการแก้หนี้เฟสใหม่ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา โดยจะมีการผ่อนปรนและขยายวงแก้หนี้ให้มากกว่าเดิม ทั้งในกลุ่มลูกหนี้ที่เข้าข่ายโครงการคุณสู้เราช่วย รวมถึงการแก้หนี้กลุ่มหนี้เสียเอ็นพีแอล ที่มีมูลหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท


“ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนอยู่ประมาณ 16 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็น 91% ของจีดีพี แต่ช่วงที่ผ่านมาหลังโครงการคุณสู้เราช่วยไปแล้วก็ทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงต่อเนื่องในเดือนม.ค.อยู่ระดับ 88% และในเดือนมี.ค.จะเหลือ 86% อย่างไรก็ตาม คลังมองว่าจำเป็นที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มอีก จะมีการขยายมาตรการแก้หนี้เฟสใหม่ซึ่งจะช่วยลดหนี้ และเมื่อรวมกับการเติบโตเศรษฐกิจ จะทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีลดเหลือไม่เกิน 80% โดยในส่วนของคุณสู้เราช่วยจะมีการขอครม. ปรับปรุงเงื่อนไข ขยายวงเงินลูกหนี้เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มลูกหนี้ที่จ่าย 10% เพื่อตัดหนี้ทั้งก้อน ก็จะขยายวงเงินจาก 5,000 บาทเป็น 10,000 บาท”


นายพิชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณากลุ่มที่เป็นหนี้เสีย ซึ่งปัจจุบันไทยมีหนี้เสียกว่า 5.4 ล้านราย แต่จำนวนนี้จะโฟกัสไปในกลุ่มที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งเป็นสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล โดยกลุ่มนี้มีหนี้อยู่ประมาณ 123,000 ล้านบาท จำนวน 3.4 ล้านคน เพื่อช่วยให้คนกลุ่มนี้สามารถตั้งตัวใหม่ได้ โดยแบ่งเป็นลูกหนี้เอ็นพีแอลธนาคารรัฐ 26,000 ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์ 16,000 ล้านบาท และที่เหลือกว่า 80,000 ล้านบาท จะเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์)


นายพิชัย กล่าวต่อว่า ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบจากความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก และจะต้องเตรียมมาตรการรองรับหากสถานการณ์เลวร้าย โดยจะเน้นการทบทวนงบประมาณที่มีอยู่ และหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น “การสร้างหนี้ใหม่จะเป็นโจทย์สุดท้าย ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือทบทวนงบประมาณได้ ซึ่งงบประมาณปี 2569 อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภา ซึ่งจะมีการหารือกับสภาเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมของงบประมาณในแต่ละส่วน รวมถึงโครงการเติมเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท หรือดิจิทัลวอลเล็ต อาจมีการทบทวน โดยจะพิจารณาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป”


นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอให้ทบทวนแผนจัดทำงบประมาณปี 69 อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภา เพื่อพิจารณาหาแหล่งเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะเมกะโปรเจคท์ด้านบริหารจัดการน้ำขนาดใหญ่ เพื่อชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายภาษีสหรัฐ ที่มีต่อการค้า การส่งออกของไทย ขณะที่โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ยังอยู่ในแนวคิดของรัฐบาลที่จะลงทุน เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ


“ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกรวมถึงการส่งออกไม่ดี เราจะมีการเร่งเครื่องเศรษฐกิจในประเทศขึ้นมาชดเชย โดยเฉพาะโครงการเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง ที่มีการใช้เงินขนาดใหญ่ กระจายลงทุนทั้งโครงการขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ใช้เวลาลงทุน 2-3 ปี เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะกลับมาอีกครั้งในอนาคต นอกจากนี้ คลังจะดูงบประมาณในแต่ละส่วน รวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่อาจมีการทบทวน”


นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค. ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ใหม่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.1% ช่วงคาดการณ์อยู่ที่ 1.6-2.6% จากเมื่อต้นปีได้คาดการณ์ไว้ที่ 3% สาเหตุหลักมาจากแรงกดดันด้านการค้าโลก ผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.3% ต่อปี ช่วงคาดการณ์ 1.8 - 2.8%


อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยปี 68 ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวดี โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% ต่อปี ช่วงคาดการณ์ที่ 2.7 - 3.7% ตามกำลังซื้อในประเทศและรายได้ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 36.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 2.7% ต่อปี การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.4% ต่อปี ช่วงคาดการณ์ที่ -0.1 - 0.9% ส่วนเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงอยู่ที่ 0.8% ต่อปี ช่วงคาดการณ์ที่ 0.3 - 1.3% ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ลดลง ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 68 มีแนวโน้มเกินดุล 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.2% ของจีดีพี จากดุลการค้าที่เกินดุลอย่างต่อเนื่อง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ