นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัทจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s) ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิต ของประเทศไทย จากปัจจุบันมีเสถียรภาพ (Stable) เป็น "เชิงลบ" (Negative) เป็นเพราะ Moody’s กังวลผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ต่อเศรษฐกิจไทย รวมถึงกระทบเงินลงทุนในประเทศด้วย แต่ปรากฏว่า ไตรมาสแรกของปีนี้ เงินลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศ ขยายตัวกว่า 90% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ยืนยันความสามารถการชำระหนี้ยังแข็งแกร่ง รัฐบาลมีเงินกู้จากต่างประเทศน้อยมาก ส่วนแผนการกู้เงินได้ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่การของบประมาณ แต่การออกพ.ร.ก. กู้เงิน ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน
ขณะที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า มูดี้ส์ตัดสินประเทศไทยเร็วไปหน่อย น่าจะใช้เหตุผลของการถูกสหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้ที่สูงถึง 36% มาประกอบการพิจารณา เช่นเดียวกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก ที่ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทย ปีนี้เหลือต่ำกว่า 2% ก็มองแค่ผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่ไทยยังเจรจากับสหรัฐฯไม่เสร็จ และการปรับลดอันดับเครดิตไทยครั้งนี้ ค่อนข้างแปลก เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา มูดี้ส์คงอับดับไทยที่ Stable มาตลอด แม้ว่าเศรษฐกิจไทยก็ไม่ได้ดี เติบโตเฉลี่ยเพียง 1.9% แต่กลับมาปรับลดอันดับช่วงนี้ ทั้งๆ ที่การส่งออกของไทยกำลังขยายตัวดีมาก เติบโตต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกัน และยังคาดว่า จะเติบโตต่อไปอีก คาดว่า ปีนี้การส่งออกของไทยจะเติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2-3% ด้วยซ้ำ
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การปรับลดดังกล่าวย่อมแย่กว่าการปรับขึ้นอย่างชัดเจน หรือการให้เครดิตเรทติ้งเท่าเดิมก็ยังเสมือนเหตุการณ์เป็นปกติ การปรับลดดังกล่าวมาจากการที่มู้ดี้ส์วิเคราะห์และเห็นว่าโครงสร้างแนวทางเศรษฐกิจของไทยไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก และมูดี้ส์เป็นองค์กรที่ประเมินขีดความสามารถของแต่ละประเทศ การปรับลดเป็นเชิงลบย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นไม่มากก็น้อย ดังนั้น เมื่อมีการส่งสัญญาณเตือน ออกมา ประเทศไทย ก็ต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ได้ เพื่อที่การประเมินครั้งต่อไป ไทยอาจจะได้รับการปรับเครดิตขึ้นมา ตรงกันข้ามแต่หากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ดีพอก็มีโอกาสที่จะถูกปรับลดลงได้อีก
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นสัญญาณที่ควรให้ความสำคัญ เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่น ของนักลงทุนและตลาดการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ไทย กำลังพยายามดึงดูดเงินทุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้จะยังไม่ได้ปรับลดอันดับเครดิตโดยตรง แต่การเปลี่ยนมุมมองเป็นเชิงลบ ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ถึงความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะกลางและระยะยาว ตนยังเชื่อมั่นว่า ไทยยังมีเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นที่พร้อมเดินหน้าต่อได้ ขณะที่ผลกระทบในระยะสั้น
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า การปรับมุมมองความน่าเชื่อถือเชิงลบของมูดี้ส์ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2551 ที่ผ่านมา ได้มีการปรับขึ้นและลดมุมมองความน่าเชื่อถือไทย แต่เท่าที่ติดตาม วันท่ี 30 เม.ย.ท่ีผ่านมา ดัชนีตลาดการเงินและตลาดทุนไม่ได้รับผลกระทบ โดยนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อตลาดหุ้นเป็นบวก
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า มูดีส์ให้เหตุผลว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่อาจจะช้ากว่าที่คาด และภาระหนี้รัฐบาลของไทยที่สูงขึ้น ซึ่งการปรับแบบนี้ ตามปกติจะเห็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจในการระดมทุนต่างๆ แต่จากการติดตามของ ธปท.ยังไม่เห็นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ที่อ่อนค่าลงไปมาก ผลตอบแทนพันธบัตรยังไม่เพิ่มขึ้นมาก แต่รัฐบาลต้องตระหนักในคำเตือนของมูดีส์ ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้พื้นที่ของนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังที่ระมัดระวังมากขึ้น