
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกรายงานการประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย 2567 โดยระบุว่า ระบบการเงินไทยโดยรวมมีเสถียรภาพ แม้พบว่าคุณภาพหนี้จะด้อยลง อย่างไรก็ดี ท่ามกลางผลกระทบจากนโยบายการค้าและนโยบายภาษีของประเทศต่าง ๆ ปัญหาเชิงโครงสร้างของบางภาคธุรกิจ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังต้องติดตามความเสี่ยงต่อระบบการเงินในระยะข้างหน้า 4 เรื่อง
1.ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปราะบางและอ่อนไหว รวมทั้งตลาดเงินและตลาดทุนโลกที่มีความผันผวนสูงมาก อาจนำไปสู่การขายสินทรัพย์ทำให้ราคาสินทรัพย์โดยรวมปรับลดลง ซึ่งจะกระทบต่อฐานะการเงินของนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายย่อย รวมถึงจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมผ่านตลาดทุนและความเสี่ยงในการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อระบบการเงินโดยรวม2.ภาวะการเงินในระยะต่อไปอาจตึงตัวมากขึ้น และส่งผลต่อสภาพคล่องของธุรกิจและครัวเรือน รวมถึง กิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยต้องจับตาความสามารถการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนลดลง ขณะที่สถาบันการเงินระมัดระวังในการให้สินเชื่อใหม่
3.บริษัทขนาดใหญ่บางรายมีการก่อหนี้ในระดับสูง และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากระดับหนี้ที่สูงขึ้นต่อเนื่องจะเป็นการสะสมความเปราะบาง โดยเฉพาะบริษัทที่มีระดับหนี้สูง มีรายได้และความสามารถชำระหนี้ทอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกและไทยได้รับผลกระทบมากกว่าที่คาด อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและการชำระหนี้บริษัท และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นนักลงทุน ผู้ฝากเงิน รวมถึงส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงิน หากความเชื่อมั่นลดลงเป็นวงกว้าง 4. ฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพยบางรายที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด กำลังซื้อที่อ่อนแอ และหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลต่อการชำระหนี้ในอนาคต
ขณะที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า ในช่วงการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประจำปี 68 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ได้หารือกับสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยมีแนวโน้มสูงที่ไทยคงการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ BBB+ ของ S&P และ Baa1 ของ Moody’s และมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ