
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยทยอยรายการผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 68 ซึ่งมีทั้งธนาคารที่กำไรเพิ่มขึ้น และกำไรลดลง โดย 10 ธนาคารพาณิชย์ที่ประกาศออกมาแล้ว พบว่า มีกำไรสุทธิรวม 66,431.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ปี 67 ที่มีกำไรสุทธิรวม 59,115 ล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทย ขึ้นแชมป์กำไรสูงสุดในไตรมาสนี้ แต่หากเทียบระยะเดียวกันของปีก่อน บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ มีอัตราเพิ่มของกำไรสูงที่สุด 74.3%
สำหรับ 10 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีกำไรสุทธิ 12,618 ล้านบาท เทียบไตรมาส 1 ปี 67 เพิ่มขึ้น 19.9% และเทียบไตรมาส 4 ปี 67 เพิ่มขึ้น 21.3%, บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG บริษัทแม่ของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮาส์ มีกำไรสุทธิ 695.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.3% เทียบงวดเดียวกันของปี 67 และเพิ่มขึ้น 20.7% เทียบไตรมาส 4 ปี 67 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้เงินปันผล, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO มีกำไรสุทธิ 1,643.38 ล้านบาท ลดลง 89.64 ล้านบาท หรือ 5.2% เทียบช่วงเดียวกันปี 67 เพราะรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลด 2% และสินเชื่อลด 0.4%
ด้านธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มีกำไรสุทธิ 838.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 212.0 ล้านบาท หรือ 33.9% ส่วนธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (TTB) และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ลดลง 5.2% เทียบงวดเดียวกันปี 67 ขณะที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน และบริษัทในเครือ) มีกำไรสุทธิ 7,533 ล้านบาท เติบโต 20.0% จากไตรมาส 4 ปี 67, ธนาคารกรุงไทย มีกำไรสุทธิ 11,714 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปี 67 ขณะที่ S&P Global Ratings ปรับเพิ่มเครดิตเรตติ้งของธนาคารเป็น BBB สะท้อนสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น
ด้านบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิ 12,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน, ธนาคารกสิกรไทย กำไร 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08% เมื่อเทียบไตรมาส 1 ปี 67 และเทียบไตรมาส 4 ปี 67 มีรายได้จากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้น 397 ล้านบาท หรือ 0.81% ขณะที่ธุรกิจบัตรเครดิต บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี มีกำไรสุทธิ 1,861 ล้านบาท
ขณะที่นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลมีหนี้สาธารณะ 12.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.21% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยสิ้นปีนี้หนี้จะเพิ่มไปอยู่ที่ 65.5% และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 67.3% หากรัฐบาลจำเป็นต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 75-80% หรือกู้เพิ่มเพื่อนำเงินมาใช้ดูแลเศรษฐกิจเร่งด่วน สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักของกฎหมาย คือ ฉุกเฉิน จำเป็น เร่งด่วน และต้องมีเป้าหมายโครงการใช้เงินที่ชัดเจน เหมือนตอนออก พ.ร.ก.กู้เงินช่วงโควิด ทั้งนี้ ปีงบ 68 รัฐบาลกู้ชดเชยขาดดุล 860,000 ล้านบาท และยังมีช่องว่างกู้ชดเชยขาดดุลเหลืออยู่ 4,000 ล้านบาท แต่หากขาดดุลเกินกว่านั้น สามารถนำวงเงินกู้เหลื่อมปีจากปี 67 ที่เหลือหลายหมื่นล้านมาใช้ได้ ส่วนผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ อาจกระทบต่อหนี้สาธารณะบ้าง แต่ไม่มาก เช่น หากจีดีพีโต 2% ลดจาก 3% หนี้สาธารณะจะเพิ่มเป็น 68.5% ซึ่งยังไม่เกินเพดานสูงสุด