
เริ่มต้นไปแล้วสำหรับการประชุมธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างวันที่ 21–26 เม.ย.2568 ท่ามกลางความร้อนแรงของ “สงครามการค้าโลก” รอบใหม่
และในวันนี้ (22 เม.ย.) ไอเอ็มเอฟจะมีกำหนดเผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับปรับปรุง โดยคาดการณ์กันว่า จะมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ “คริสตาลินา กอร์เกียวา” กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ ระบุว่า การปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้เป็นการปรับครั้งสำคัญโดยมีผลจากการเปลี่ยนแปลงระบบการค้าโลกที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ที่มาจากผลกระทบของการใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมทั้งการตอบโต้จากประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น จีน และสหภาพยุโรป (อียู)
แต่อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟยังมองว่า “เศรษฐกิจโลกปีนี้จะไม่เผชิญภาวะถดถอย”
ขณะเดียวกันยังต้องจับตาความเคลื่อนไหว การชิงไหวชิงพริบของประเทศต่างๆในโลก ทั้งความพยายามในการขอเจรจาอย่างไม่เป็นทางการระหว่างประเทศที่ได้รับผลกระทบทางภาษีกับสหรัฐฯ และการขยับของประเทศต่างๆในการสร้างพลังความร่วมมือ และสร้างพันธมิตรใหม่ๆ ทางการค้าระหว่างกัน ในระหว่างการประชุมครั้งนี้
ซึ่งอาจจะทำให้เราเห็นการจับมือของ “ขั้วอำนาจ” ใหม่ๆ หรือการสลายไปของขั้วอำนาจเดิมที่ชัดเจนขึ้น และประเทศไทยเองควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดเช่นเดียวกับที่ทุกประเทศคาดหวัง
เพราะแน่นอนว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบในระดับ “สูงมาก” จากมาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และยังถูกกระทบเด้งที่สองจาก “สินค้าราคาถูก” จากจีนที่พร้อมจะทะลักเข้ามาเป็นคู่แข่งของผู้ประกอบการไทยทั้งตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก
ขณะที่การเจรจาต่อรองขอลดอัตราภาษีนำเข้าจาก 36% ลงระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการนั้น หากไม่มีการเปลี่ยนอีก คาดว่าเราจะได้เข้าหารือกับ รมว.คลังสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ แต่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ คงจะไม่จบ หรือได้เงื่อนไขสุดท้ายในการเจรจาครั้งแรก
มาที่ด้านภาวะเศรษฐกิจ ไอเอ็มเอฟน่าจะลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเช่นเดียวกันกับประเทศส่วนใหญ่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะต่ำลงมากเท่ากับที่หลายหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจของไทยที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยลงมากถึง 0.5-1% เหลือเติบโตปีนี้ที่ 1.4-1.9% หรือไม่
ดังนั้น เพื่อรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจที่รุนแรงนี้ คงต้องตั้งความหวังที่การเจรจาของ “ทีมไทยแลนด์” ว่าจะลดภาษีจากสหรัฐฯลงได้เท่าไร รวมทั้งรัฐบาลจะต้องหามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ตรงจุด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆที่ได้ผลกว่ามาตรการเดิมๆ มาเสริมทัพ เพื่อรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวของไทยไม่ให้ปักหัวลง.
มิสเตอร์พี
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม