“จะเป็นช็อกที่อยู่กับเรานาน ไม่ใช่มีแล้วหายไปทันที แต่จะเปลี่ยนแปลงพื้นฐานของการค้าโลกจริง ๆ จนกว่าจะเจอจุดสมดุลใหม่”
คำกล่าวยืนยันล่าสุด ของ “สักกะภพ พันธ์ยานุกูล”ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ออกมาระบุ ถึงประเด็นการตัดสินใจของสหรัฐฯ ในการขึ้น “ภาษีนำเข้า” หรือ Tariff ตั้งแต่หลักสิบ ไปจนถึง หลักเกิน 100% เพื่อปรับสมดุลการค้ากับประเทศคู่ค้า
ขณะที่ “ประเทศไทย” ก็ไม่รอดพ้นจากแรงกระแทกครั้งนี้ด้วย แม้จะอยู่ในช่วงหาทางเจรจาผ่อนปรนให้เบาบางลง ในฐานะสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกเบอร์ 2 รองจากอาเซียนเท่านั้น ด้วยมูลค่าการส่งออกไป มากกว่า 18% จากการส่งออกทั้งหมด
สำหรับผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทย ธปท.แจกแจงออกเป็น 5 ด้าน ภายใต้การประเมินว่า ในระยะสั้น การลงทุนบางส่วนจะชะลอลง ขณะผลของ “ภาษีสหรัฐ” ดังกล่าว จะแสดงอาการออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ในช่วงครึ่งหลังของปี เป็นต้นไป
1.ตลาดการเงิน : แม้ปัจจุบันโดยรวมของสภาพคล่องและกลไกการทำธุรกรรม ยังเป็นไปตามปกติ แต่ต้องติดตามผลกระทบต่อภาวะการเงินในประเทศในระยะต่อไป เพราะขณะนี้ยังอยู่ระหว่าง ชะลอการบังคับใช้ชั่วคราว
แต่จะเห็นได้ว่า หลังมีการประกาศภาษีรอบแรกออกมา ตลาดการเงินทั้งโลก เกิดความผัวผวน ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ และค่าเงิน เกิดปรากฎการณ์คนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา และหันมาซื้อสินทรัพย์เสี่ยงต่ำแทน เช่น ทองคำ สะท้อนจากราคาทองที่กระโดดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
2.การลงทุน : คาดการณ์ว่า ภาษีใหม่ จะมีผลต่อการตัดสินใจผลิตและการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะ ใน 5 อุตสาหกรรมหลักๆ ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 75% ของการส่งออกไปยังสหรัฐ ได้แก่
อิเล็กทรนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร ยานยนต์ เกษตรและเกษตรแปรรูป ซึ่งหากประเมินจากการขอสิทธิการลงทุน BOI ในช่วงก่อนหน้า และจะเกิดขึ้นในช่วง 1 ปี ข้างหน้า ภาพรวมของเม็ดเงินดังกล่าว จะมีมูลค่าสูงถึง 70,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 3% ของการลงทุนภาคเอกชนทั้งหมด ซึ่งอาจมีบางส่วนเลื่อน หรือ ยกเลิกลงทุน จากที่สิทธิที่ขอไว้ หากต้นทุนสูงขึ้นจากมาตรการภาษีใหม่
3.การส่งออก: เป็นช่องทางหลักที่ได้รับผลกระทบจาก tariff แต่ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี เพราะมีการชะลอการบังคับใช้ reciprocal tariff ออกไป 90 วัน จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป และน่าจะเห็นการเร่งส่งออกใน Q2 เช่น อาหารแปรรูป นอกจากนี้ จะมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยที่อยู่ใน supply chain ของโลก ที่ผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ด้วย (ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็ก และเคมีภัณฑ์ คิดเป็นประมาณ 4.3% ของการส่งออกไทย)
4.การแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้น: สินค้าไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้น้อยลง และหันมาส่งออกไปยังตลาดเดียวกับไทย รวมถึงส่งมายังไทย โดยเฉพาะหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โลหะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่มีอยู่เดิม
“การที่ไทยอาจต้องแลกเปลี่ยนด้วยการเพิ่มการนำเข้า เพื่อขอลดภาษี อาจซ้ำเติมภาคการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะเมื่อการบริโภคภายในโตเพียงราว 2% ต่อไตรมาส แต่การผลิตไม่ได้ปรับลดลงตาม ทำให้สินค้าล้นตลาด และกระทบผู้ประกอบการในประเทศ ”
5.เศรษฐกิจโลกที่จะชะลอลง: การส่งออกโดยรวมและรายรับการท่องเที่ยวอาจถูกกระทบจาก เศรษกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะปรับลดลง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและเงินเฟ้อของไทยชะลอลงจากปัจจัยด้านอุปทาน
ทั้งนี้ จากการที่ ธปท.เคยประเมินจีดีพีปี 2568 ณ ช่วงเดือน ก.พ.ว่ามีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 2.5% แต่จากสถานการณ์ล่าสุด อาจต้องประเมินอีกครั้ง เพราะสมมุติฐานต่างไปจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก ซึ่งหากการส่งออกได้รับผลกระทบยืดเยื้อ โดยเฉพาะในเซกเตอร์สำคัญ แม้จะยังไม่ถึงขั้นลุกลามทั้งระบบเหมือนช่วงโควิด-19 แต่ก็มีผลฉุดรั้งจีดีพีเช่นกัน แต่ยังให้ตัวเลขที่ชัดเจนไม่ได้ ณ ขณะนี้ เนื่องจาก อย่างที่ระบุไว้ ว่าผลกระทบจริงๆ จะเริ่มออกมาให้เห็นในช่วงหลังไตรมาส 2 เป็นต้นไป ต้องประเมินปัจจัยต่างๆอีกครั้ง
“ยอมรับว่าประเด็นนี้ใหญ่จริง แต่ลึกแค่ในบางเซกเตอร์ ยังไม่รุนแรงเท่าช่วงโควิด เราต้องติดตามความชัดเจนของการเจรจาระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด ก่อนประเมินตัวเลขจีดีพีใหม่ได้”
ในช่วงท้าย ธปท.ยังระบุว่า แม้ผลกระทบยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว ประเทศไทย ต้องเตรียมรับมือหลายด้าน โดยในระยะสั้น นอกจากเรื่องการเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ไทยควรมีมาตรการรับมือ ทั้งการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศ และป้องกันการนำเข้าสินค้ามาเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ผ่านไทย
ส่วนในระยะยาว ไทยควรขยายตลาดและเสริมสร้าง supply chain โดยเฉพาะกับประเทศในภูมิภาค และต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้แข่งขันในห่วงโซ่อุปทานของโลกได้ เช่น ยกระดับภาคการผลิตและภาคบริการที่ไทยมีศักยภาพ
ขณะหน้าที่ของ ธปท.เอง จะดูแลการทำงานของกลไกตลาดต่าง ๆ (market functioning) ให้ดำเนินเป็นปกติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดูแลความผันผวนในตลาดการเงินที่สูงกว่าปกติในช่วงนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจริง
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney