เครื่องยนต์ "ซอฟต์พาวเวอร์" ขยับ สร้างอาชีพใหม่ให้คนไทยครั้งใหญ่

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

เครื่องยนต์ "ซอฟต์พาวเวอร์" ขยับ สร้างอาชีพใหม่ให้คนไทยครั้งใหญ่

Date Time: 14 เม.ย. 2568 05:01 น.

Summary

การขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ 15 สาขาที่สำคัญ คือ การเสริมเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพให้กับประชาชนคนไทยครั้งใหญ่เพื่อสร้าง “นักรบซอฟต์พาวเวอร์” ของประเทศ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 20 ล้านคน ภายในปี 2570

Latest

ยุบสภา สะเทือนนโยบายหลักต้องรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ เผยคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ฝันค้าง

ผ่านมา 1 ปี 6 เดือน กับการลงมือเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ นับเวลาไล่เรียงมาตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” มาจนถึง “แพทองธาร ชินวัตร” โดยมี นายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่เป็นทั้งหัวเรือใหญ่ และยังเป็นผู้คุมหางเสือ กำหนดทิศทางให้นโยบายที่วางไว้ ให้ออกมาจับต้องได้ เห็นผลเป็นรูปธรรม คนทั่วไปอาจยังไม่เห็นความคืบหน้าของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์มากนัก แต่ในฐานะคนทำงาน นพ.สุรพงษ์ หรือ “หมอเลี๊ยบ”บอกว่าตอนนี้คืบหน้าเยอะ งานออกมาให้เห็นแล้ว ที่ล่าช้าในช่วงแรกอาจเพราะการเป็นรัฐบาลผสมจะทำอะไรก็ยาก

ยังมีเรื่องของความไม่เชื่อมั่นในช่วงแรก ต้องทำให้หน่วยราชการปรับความคิดให้เข้าใจและยอมรับวิธีการที่รัฐเป็นเจ้าภาพ แต่ขับเคลื่อนงานโดยใช้ภาคเอกชนเป็นผู้นำ แต่ตอนนี้ถือว่ามีความพอใจ 80% แล้ว

คำพูดหนึ่งของ "หมอเลี๊ยบ" บอกว่า เมื่อ 24 ปีก่อน ผมเป็น รมว.สาธารณสุข ผมทำนโยบายใหม่ “30 บาทรักษาทุกโรค” ตอนนั้นผมใช้เวลา 8 เดือน ทำออกมาเป็นผลสำเร็จ เพราะได้รับการสนับสนุนจาก นพ.มงคล ณ สงขลา ปลัดกระทรวงสาธารณสุขในตอนนั้น ที่ท่านเหลืออายุราชการ 8 เดือนจะเกษียณจึงช่วยลุยเต็มที่

“แม้ไม่สามารถเปรียบเทียบความพอใจของ 2 นโยบายนี้ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของแอปเปิ้ลกับแอปเปิ้ล เพราะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นเรื่องของกระทรวงสาธารณสุขโดยตรง ขณะที่นโยบายซอฟต์พาวเวอร์เป็นเรื่องที่ข้ามกระทรวงอย่างน้อย 8 กระทรวง 40 กว่ากรม จึงเป็นการจัดการที่ยากมากและให้เอกชนเป็นผู้นำอีก”

ถ้าถามประเด็นความเปลี่ยนแปลงแนวคิด มาถึงตอนนี้เอกชนและราชการทำงานร่วมเป็นเนื้อเดียวกันพอสมควรแล้ว คนอยู่ในระบบราชการก็เปิดใจกว้าง เพราะเขาเห็นอนาคตที่สามารถมีส่วนร่วมสร้างได้ ทางฟากเอกชนเองหลายเรื่อง เมื่อก่อนรอไม่ได้ แต่วันนี้เขาเข้าใจว่ารอได้

สตาร์ตเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่

“ณ วันนี้ผมมั่นใจแล้วว่า นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ จะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้คนไทยจำนวนมากได้รับโอกาส การฝึกทักษะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น” นพ.สุรพงษ์กล่าว

โดยเรื่องการ Upskill การพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะที่มีให้ดีกว่าเดิม และการ Reskill สร้างทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานขึ้นมาใหม่ให้กับคนไทย 20 ล้านคน เป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน หากทำได้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงทักษะสำคัญของคนไทย เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ของประเทศไทย

เพราะอุตสาหกรรมเดิมที่เป็นบุญเก่าของประเทศไทยมาตั้งแต่ในอดีต ไม่สามารถที่จะเติบโตได้มากอีกแล้ว

ซอฟต์พาวเวอร์จึงเป็นเสมือนไพ่ในมือที่สามารถสร้างให้เป็นอุตสาหกรรมและแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ในภาวะโลกเข้าสู่ยุคบานี (BANI World) ที่เต็มไปด้วยความเปราะบาง ความวิตกกังวล การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นเส้นตรง และความเข้าใจสถานการณ์ที่ยากขึ้น

เสริมทักษะอาชีพสร้างนักรบ

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า การขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ 15 สาขาที่สำคัญ คือ การเสริมเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพให้กับประชาชนคนไทยครั้งใหญ่เพื่อสร้าง “นักรบซอฟต์พาวเวอร์” ของประเทศ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 20 ล้านคน ภายในปี 2570

ขณะนี้ได้เปิดระบบให้เริ่มมีการลงทะเบียนเข้ามาเรียนทั้งออนไลน์และออนไซต์แล้วในบางสาขา รวมๆสมัครเข้ามาแล้ว 2–3 ล้านคน เช่น การเรียนทำอาหาร ทางเชฟชุมพล แจ้งไพรเอาหลักสูตรที่ปกติคนที่มาอบรมกับเชฟชุมพลต้องเสียค่าเรียน 200,000 บาทมาสอนให้ฟรีๆ ปัจจุบันมีผู้เรียนสำเร็จจากการเรียนออนไซต์ ระยะเวลา 28 วัน แล้ว 1,300 คน บางคนได้รับเลือกไปทำงานในต่างประเทศแล้ว

มีการคิดวิธีที่จะขยายการสอนให้ได้มากขึ้น ทางเชฟชุมพลก็จะสอนสูตรให้กับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเพื่อไปสอนต่อได้ โดยผู้ที่สนใจเรียนสามารถสมัครเรียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ และเว็บไซต์ E-learning ตามโครงการ OFOS ของ THACCA Academy จะมีระบบวัดผล และออกใบรับรองที่สามารถใช้ไปสมัครงานได้ ตัวอย่างของการฝึกอบรมนี้จะไปตอบโจทย์เป้าหมายใหญ่ เช่นที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้มีร้านอาหารไทยทั่วโลก 100,000 แห่ง ภายในปี 2570 จากปัจจุบันมีอยู่ 20,000 กว่าแห่ง

“การลงทุนเปิดร้านอาหารไทยไม่ยาก ที่ยากคือหาเชฟทำอาหารไทย ตอนนี้อยากให้ได้ 70,000 คน จึงให้ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศส่งคนมาเรียน อาจจะหมู่บ้านละ 4-5 คน แต่สุดท้ายจะเลือกเหลือ 1 คน ก็ต้องสร้างเชฟคนไทยขึ้นมาแล้วส่งออกไปยังร้านอาหารไทยที่มีความต้องการเปิดทั่วโลก เป็นต้น”

นอกจากนั้น ยังมีโครงการอัปสกิล รีสกิลอีกหลายสาขาที่ดำเนินการไปแล้ว เช่น ภาพยนตร์ มวยไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรู้ ทักษะให้กับคนไทยครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน

มีอีกตัวอย่าง การเผยแพร่มวยไทย เหมาะสำหรับนักมวย พออายุมากขึ้น 40 ปี ก็ต้องเกษียณแล้วคงไปขึ้นเวทีชกต่อไม่ไหว ถ้ามาเข้าโครงการอบรมเป็นโค้ชสอนมวยไทย ตอนนี้ได้คุยกับ 400 ค่ายมวยที่จะทำการเปิดสอน เมื่อได้ใบรับรองก็ไปทำอาชีพโค้ชสอนมวยไทย สามารถไปได้ทั่วโลก โดยเราต้องการทำให้มวยไทยเป็นวิถีชีวิต

มีข้อมูลว่าตอนนี้ทั่วโลกมียิมสอนมวยไทยถึง 40,000 แห่ง เฉพาะที่ฮ่องกงมีเป็นร้อยแห่ง ลองคิดภาพทั้งร้านอาหารไทยและมวยไทย คนไทยที่ออกไปทำอาชีพนี้ทั่วโลก ถือเป็นทูตทางวัฒนธรรมได้เลย และพอมวยไทยเป็นกระแสนิยม ก็ขายน้ำมันมวยที่เป็นสินค้าไทย และต่อเนื่องไปถึงการเผยแพร่เฟสติวัลของไทยได้อีก

“การอัปสกิล รีสกิลเป็นเรื่องที่เราพูดกันมาตลอด ตอนที่ผมบอกว่าจะทำ 20 ล้านคนในการเพิ่มทักษะฝีมือนั้น คนก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อเรามีระบบแพลตฟอร์มที่จัดทำขึ้นครั้งนี้ จะเป็น E-learning ที่มีขนาดใหญ่มาก จึงถือว่าเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่จะพัฒนาฝีมือแรงงานของคนไทย จะไม่สอนเรื่องทฤษฎีแล้ว แต่เราต้องจับมือทำเพื่อสร้างคนที่มีทักษะในซอฟต์พาวเวอร์แต่ละสาขาให้สามารถทำงานได้จริง”

ร่างกฎหมายจัดตั้ง THACCA

นพ.สุรพงษ์กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าของการผลักดันร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ พ.ศ. ...ปัจจุบันได้ร่างเสร็จแล้ว เตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็วๆนี้ จากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯและคาดว่าจะสามารถผ่านร่างกฎหมายได้ภายในช่วงต้นปี 2569 จะสามารถตั้งสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) หรือ “ทักก้า” ขึ้นมาเพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ คาดว่าภายในไตรมาส 1 ปี 2569

หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่เป็น Super Agency ในการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศในด้านต่างๆ โดยในระยะเปลี่ยนผ่านจะมีบทเฉพาะกาลที่ใหม่สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ดำเนินการแทนทักก้าชั่วคราว จากนั้น CEA จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทักก้า เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆที่มีกรอบการทำงาน และงบประมาณในการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ก็จะยุบรวมเข้ามาอยู่ภายใต้ทักก้า เช่น สถาบันอาหาร สถาบันสิ่งทอ เป็นต้น

ขณะเดียวกันการทำงานของทักก้าจะสนับสนุนให้มีการตั้งสภาต่างๆเพื่อส่งเสริมการทำงานของเอกชน และกลุ่มคนที่มีความรู้ในเรื่องต่างๆ เช่น สภาภาพยนตร์ สภาศิลปะ สภาหนังสือแห่งชาติ เป็นต้น

โครงสร้างการบริหารตามร่าง พ.ร.บ.จะประกอบไปด้วยบอร์ด 3 ระดับคือ บอร์ดคณะกรรมการนโยบาย มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รองลงมาคือคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และในระดับสุดท้ายก็คือคณะกรรมการย่อยของแต่ละอุตสาหกรรม การใช้งบประมาณจะมาเสนอโครงการผ่านมาที่ทักก้า เพื่อกลั่นกรองการทำงบประมาณให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และกิจกรรมที่มีการวางแผนงานการขับเคลื่อนในแต่ละปีซึ่งเป็นการทำครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

11 เป็น 15 สาขาซอฟต์พาวเวอร์

นพ.สุรพงษ์กล่าวทิ้งท้ายว่า จากการหารือกับภาคเอกชน จะมีการเพิ่มสาขาซอฟต์พาวเวอร์จาก 11 อุตสาหกรรม เป็น 15 อุตสาหกรรม เพื่อให้มีการส่งเสริมได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น โดย 11 สาขาเดิม ประกอบด้วย ภาพยนตร์ สารคดี และแอนิเมชัน ศิลปะ หนังสือ อาหาร ดนตรี เฟสติวัล ท่องเที่ยว กีฬา การออกแบบ เกม แฟชั่น

โดย 4 สาขาที่เพิ่มมาในสาขาภาพยนตร์ขอแยก 2 คณะ เป็นละคร และซีรีส์ สาขาศิลปะก็แยกศิลปะการแสดงออกมา 

รวมทั้งจะเพิ่มสาขา Wellness หรือสุขภาพที่มีคนพูดกันเยอะว่าทำไมไม่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ ปัจจุบันให้ความสำคัญในเรื่องของการออกแบบประสบการณ์ที่เป็นการทำสมาธิ การฝึกสติ (Mindfulness) ได้รับความนิยมมากขึ้น และไทยเรามีพื้นฐานในเรื่องนี้สามารถต่อยอดเป็นธุรกิจได้

สาขาสุดท้ายที่เพิ่มคือ สาขาอุตสาหกรรมโฆษณา เดิมไทยอยู่ระดับโลกได้รับรางวัลเยอะมาก แต่ช่วงหนึ่งขาดการสนับสนุนไป

“การทำงานต่อไปจะเสนอของบประมาณจากสำนักงานทักก้า แตกต่างจากในอดีตที่ประเทศไทยมีงบประมาณในด้านซอฟต์พาวเวอร์ที่กระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆอยู่แล้ว 5,000–6,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้วางยุทธศาสตร์ร่วมกัน งานที่ออกมาจึงไม่เห็นผลที่ชัดเจน ต่อไปบนจำนวนงบประมาณเดิมจะมีผลงานออกมาให้เห็น ตรงนี้ละที่ได้พิสูจน์ให้เห็นความแตกต่าง”.

ทีมเศรษฐกิจ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ