รู้จัก Dutch Disease เมื่อ KKP ชี้ความเสี่ยงบาทแข็ง สวนปัจจัยพื้นฐาน ซ้ำเติมภาคการผลิต-ส่งออก

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

รู้จัก Dutch Disease เมื่อ KKP ชี้ความเสี่ยงบาทแข็ง สวนปัจจัยพื้นฐาน ซ้ำเติมภาคการผลิต-ส่งออก

Date Time: 9 เม.ย. 2568 20:01 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

“สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร” และสงครามการค้าที่สหรัฐฯ ประกาศกร้าวครั้งนี้หลังการประกาศนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) พร้อมการตอบโต้ด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ขยับเพดานภาษีสู้กันไปมาเป็นลูกปิงปองระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในช่วงตั้งแต่วันที่ 2-9 เมษายน ยิ่งทำให้น่าประหวั่นพรั่นพรึงว่า เมื่อช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ กำลังจะเกิดขึ้นและมีให้เห็นในยุคนี้แล้ว

Latest


ล่าสุดในเย็นวันนี้ (9 เม.ย.) จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% ตอบโต้ที่สหรัฐฯ ประกาศ 2 รอบใน 1 สัปดาห์ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ส่งผลให้ตัวเลขอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนในสหรัฐฯ อยู่ที่ 104% คู่ขนานกับการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ ของเจ้าหนี้ทั่วโลก รวมถึงจีน ทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนอีกระลอก และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนลง ส่งผลให้ค่าเงินสกุลอื่นๆ ผันผวนหันหัวแข็งค่ารวดเร็ว

คำเตือนจาก KKP เงินบาทแข็งค่า สวนปัจจัยพื้นฐาน

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ "เกียรตินาคินภัทร (KKP)" เผยแพร่บทวิเคราะห์เรื่อง ไทยเสี่ยง Dutch Disease เงินบาทแข็งสวนปัจจัยพื้นฐาน ซ้ำเติมภาคการผลิตและส่งออก ระบุว่า ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ถูกเรียกเก็บภาษีค่อนข้างสูงส่งผลให้เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ค่าเงินบาทตั้งแต่ปลายปี 2567 ต่อเนื่องยาวมาถึงต้นปี 2568 มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางแข็งค่าค่อนข้างมาก

โดยในช่วงที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวอ่อนค่าลงเงินบาทกลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นตาม ส่งผลให้แม้เงินบาทเทียบกับดอลลาร์จะค่อนข้างนิ่ง แต่เงินบาทกลายเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค โดยเมื่อพิจารณาค่าเงินบาทเทียบกับหลายๆ สกุลเงินในประเทศคู่ค้าถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าการค้า (NEER) ซึ่งเป็นดัชนีที่สร้างขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะพบว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่วิกฤติปี 2540

แม้เป็นที่ยอมรับร่วมกันว่าการคาดการณ์ค่าเงินเป็นสิ่งที่ทำได้ยากและมักจะผิดพลาดอยู่เสมอแต่ก็ยังเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่นักวิเคราะห์ในตลาดเกือบทั้งหมดคาดกันว่าเงินบาทควรจะอ่อนค่าลง แต่กลับกลายเป็นแข็งค่าขึ้นอย่างมาก การแข็งค่าของเงินบาทไม่ใช่เรื่องแปลก…ถ้าแข็งค่าตามปัจจัยพื้นฐาน

ค่าเงินในแต่ละสกุลมีการปรับตัวแข็งค่าและอ่อนค่าเป็นปกติจากหลายปัจจัยเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม KKP Research วิเคราะห์ว่าการแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันมีลักษณะที่น่าสนใจและไม่เหมือนการแข็งค่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในช่วงปี 2558-2562 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้จากการท่องเที่ยวสะท้อนผ่านการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งประกอบด้วยดุลการค้าและดุลบริการ (การท่องเที่ยว) ที่มีขนาดใหญ่ต่อเนื่องหลายปี การแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันมีลักษณะที่ต่างออกไปอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ

  1. ดุลบัญชีเดินสะพัดไทยปรับตัวลดลงอย่างมากจากช่วงก่อนโควิด-19 จากทั้งการค้าที่แย่ลงและนักท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมาเท่าเดิม
  2. ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยโดยสหรัฐฯ มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทยมากซึ่งมักจะหมายถึงเงินที่ควรไหลออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ และเงินบาทอ่อนค่า
  3. เงินทุนที่ยังคงไหลออกสุทธิในปี 2567 ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ทำให้การแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันอาจดูเหมือนว่าเป็น “การแข็งค่าที่สวนทางกับปัจจัยพื้นฐาน”

เงินบาทแข็งค่า ในวันที่ภาคอุตสาหกรรมอ่อนแอ

ในอดีตการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาทเป็นประเด็นที่นักเศรษฐศาสตร์ไทยมีความกังวลอยู่แล้วว่าท้ายที่สุดจะกลับมากระทบกับความสามารถในการแข่งขันในภาคการส่งออก เหมือนในกรณีญี่ปุ่นหลังการเข้าร่วม Plaza Accord โดยเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระทบความสามารถในการแข่งขันของการส่งออก

ปัญหาเงินบาทแข็งค่ากระทบการส่งออกและภาคการผลิตเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 2558-2562 ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นจากการขยายตัวอย่างมากของภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่การแข็งค่าของเงินบาททำให้ภาคอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้วต้องเป็นคนจ่ายต้นทุนจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี คำถามสำคัญ คือ การแข็งค่าของเงินบาทในปัจจุบันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มีใครได้ประโยชน์หรือไม่?

เงินบาทผันผวนกับปัจจัยภายนอกมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค KKP ประเมินว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากการตอบสนองของเงินบาทต่อปัจจัยในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วเป็นหลัก แม้ว่าการแข็งค่าเงินบาทบางส่วนมาจากการปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างเร็วของนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2567 ส่งผลให้ดุลบริการของไทยปรับตัวดีขึ้นสอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยวและพฤติกรรมของค่าเงินบาทในอดีต อย่างไรก็ตาม KKP ประเมินว่าการปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยวไม่ใช่ปัจจัยหลักอย่างเดียวที่ทำให้บาทแข็งค่าขึ้น โดยหากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในระยะสั้นจะพบว่าปัจจัยพื้นฐานระยะยาวส่งผลค่อนข้างน้อย โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มมีการตอบสนองกับปัจจัยในโลกมากกว่าประเทศอื่น ๆ คือ

  • ราคาทองคำ ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนบาทเทียบกับดอลลาร์ เนื่องจากค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำอย่างชัดเจนโดยราคาทองคำที่สูงขึ้นมักจะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นตาม ทั้งนี้คนไทยมองว่าทองคำแท่งเป็นเครื่องมือในการเก็บรักษามูลค่าทางเลือกและตลาดทองคำในไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่ลำดับต้น ๆ ในภูมิภาค อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองและเงินบาทน่าจะเป็นผลมาจากการคาดการณ์ของตลาดเป็นหลักเนื่องจากไม่เห็นการส่งออกทองคำที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในข้อมูลการค้าในช่วงที่ราคาทองคำสูงขึ้
  • ราคาน้ำมัน ประเทศไทยมีปัญหาขาดดุลการค้าด้านพลังงานอย่างมาก ทำให้มีความเปราะบางต่อความผันผวนของตลาดน้ำมันโลกสูงกว่าประเทศอื่น โดยการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน 10% จะส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศลดลงได้ประมาณ 0.5% ของ GDP ราคาน้ำมันที่ลดลงในช่วงปลายปี 2024 ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายเพื่อนำเข้าพลังงานของประเทศไทยจะลดลง ดุลการค้าดีขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินบาทได้รับแรงสนับสนุน

จากความสัมพันธ์ดังกล่าว ทำให้แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของดอลลาร์สหรัฐยังเป็นพื้นฐานหลักที่กำหนดทิศทางของค่าเงินในภูมิภาคโดยรวม แต่ความอ่อนไหวของเงินบาทต่อราคาน้ำมันและทองคำที่สูงมาก สามารถชดเชยแรงกดดันนี้ได้ในบางช่วงเวลา และทำให้บางครั้งค่าเงินบาทไม่อ่อนค่าตามค่าเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคได้

ทิศทางเงินบาทประเมินยาก มีความไม่แน่นอนสูง ข้อมูลตกหล่น

นอกจากนี้ KKP Research มองว่าการประเมินทิศทางค่าเงินบาทในช่วงนี้มีความคลุมเครือและความไม่แน่นอนสูงขึ้น สาเหตุสำคัญมาจากขนาดที่ใหญ่ขึ้นมากของ Error and Omissions หรือค่าคลาดเคลื่อนทางสถิติในดุลการชำระเงินของไทย ซึ่งมีทิศทางเป็นบวกต่อเนื่องมาหลายไตรมาสและขนาดใหญ่กว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปได้ชัดเจน ซึ่งอาจหมายถึงการมีเงินไหลเข้าไทยต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่ไม่ได้ถูกสำรวจครอบคลุมในตัวเลขของทางการ เช่น การนำเงินเข้ามาผ่านช่องทางที่ผิดกฎหมาย หรือการเก็บข้อมูลที่ผิดพลาด เช่น มีการคำนวณรายรับนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าความเป็นจริง

หากปัจจัยที่สำคัญเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป KKP Research ประเมินว่าประเทศไทยอาจเผชิญกับภาวะที่คล้ายกับ "Dutch disease" โดยทั่วไป "Dutch disease" หมายถึงภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตจากทรัพยากรธรรมชาติ จนทำให้ค่าเงินแข็งตัว ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตลดลง

ในกรณีของประเทศไทย รายได้จากการท่องเที่ยวที่สูงต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับราคาทองคำ และกระแสเงินทุนที่ไม่สามารถติดตามได้ อาจผลักดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกถดถอย ในช่วงปี 2558-2562 การแข็งค่าของเงินบาทเกิดขึ้นควบคู่กับการไหลเข้าของรายได้จากการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง แต่การเติบโตของภาคการผลิตและการส่งออกกลับอยู่ในระดับต่ำ ในปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในลักษณะเดียวกัน และอาจมีต้นทุนต่อเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมเพราะการแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้เกิดจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวเหมือนในอดีต

KKP ยังประเมินว่าบาทควรอ่อนค่าตามปัจจัยพื้นฐาน

แม้ว่าในระยะสั้นจะมีหลายปัจจัยที่สนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาท แต่เมื่อมองไปข้างหน้า KKP Research ยังคงการประเมินว่าค่าเงินบาทมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอ่อนค่ามากกว่าแข็งค่าเหมือนที่คาดไว้ในช่วงต้นปี โดยในระยะสั้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี มี 3 ปัจจัยที่จะส่งผลให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่ามากขึ้น คือ

  1. ฤดูกาลท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในไตรมาส 1 โดยการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาส 2 และยังมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวซ้ำเติม sentiment ของนักท่องเที่ยว
  2. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย โดย KKP ยังเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศต้องปรับลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 3 ครั้งในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
  3. การประกาศขึ้นภาษีของสหรัฐฯ แม้ KKP จะเชื่อว่าระดับภาษีดังกล่าวน่าจะไม่ได้ถูกใช้งานอย่างถาวร แต่จะมีการขึ้นภาษีไปก่อนในระยะสั้นทำให้ผลกระทบต่อการส่งออกและดุลการค้าจะรุนแรงในช่วงไตรมาส 2

ในระยะยาว ปัญหาความสามารถการแข่งขันในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของไทย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ KKP Research มีความกังวลมากที่สุด โดยการเข้ามาแข่งขันของสินค้าจีน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จะทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้ลดลง ซึ่งจะหมายถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงตามและเงินบาทที่อ่อนค่าจะทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Shock Absorber) และช่วยให้การส่งออกไทยบางกลุ่มปรับตัวดีขึ้นแทนเหมือนช่วงหลังวิกฤติปี 2540 ที่เงินบาทอ่อนค่าลงและการส่งออกขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว

แต่หากพฤติกรรมของค่าเงินบาทไทยยังคงเหมือนในภาวะปัจจุบัน ที่แม้การส่งออกและท่องเที่ยวจะแย่ลงมาก แต่เงินบาทกลับยังแข็งค่าตามปัจจัยต่างประเทศ จะยิ่งน่ากังวลมากขึ้นว่าภาคอุตสาหกรรมไทยอาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเดิม

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ