
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับหอการค้าไทยถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของไทยว่า กรณีสหรัฐฯ จำกัดวีซ่ากับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย ภายหลังจากไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนนั้น ต้องถามกระทรวงการต่างประเทศ เพราะกระทรวงพาณิชย์ดูแลด้านการค้า แต่เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าของไทย โดยการค้าขาย การเจรจายังดำเนินต่อได้ และสุดท้ายแล้ว ทุกคนต้องกลับมาทำการค้า กลับมาทำธุรกิจ ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐฯ ในหลายระดับ และเชื่อว่า เราจะสามารถเจรจาการค้าให้จบได้ทุกอย่าง
“กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการเจรจา และไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จากทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แต่เชื่อว่า สุดท้ายแล้วไทยจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด”
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่น่ากระทบต่อการค้าไทย แต่นโยบายทรัมป์ 2.0 จะต้องจับตาใกล้ชิด เพราะคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรในอนาคต ส่วนนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่ 1 กล่าวว่า เอกชนไม่กังวล เพราะไทยผลิต และค้าขายสินค้าที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังมีกระบวนการผลิตสินค้าที่สอดคล้องตามกฎ ระเบียบการค้าสากลอยู่แล้ว
ขณะที่นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานคณะกรรมการธุรกิจประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อุยกูร์ เป็นประเด็นเล็กๆ เมื่อเทียบกับความท้าทายอื่นๆ และไม่น่ากระทบต่อการค้าไทยกับสหรัฐฯ เพราะที่ผ่านมา ภาครัฐและเอกชนไทย แก้ปัญหาแรงงาน และสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญในภาคการผลิตของไทย ทุกสินค้าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ขณะเดียวกัน องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ เช่น องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ฯลฯ ก็ให้การยอมรับไทย ที่ปกป้องคุ้มครองแรงงาน
“ประเด็นอุยกูร์ ไม่น่าจะทำให้สหรัฐฯ จัดอันดับไทยให้แย่ลงในการรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ในปีนี้ หลังจากอยู่ในระดับ Tier 2 มาตั้งแต่ปี 65 และไม่น่าจะทำให้เพิ่มรายการสินค้าใหม่ๆ เข้าไปอยู่ในบัญชีสินค้าเสี่ยง ที่ใช้แรงงานบังคับ (TVPRA List) จากปี 67 ที่ได้เพิ่มปลาป่น น้ำมันปลา และอาหารสัตว์เข้าไปแล้ว”
สำหรับการหารือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และหอการค้าไทยนั้น นายสนั่น กล่าวว่า เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ให้ผู้ประกอบการไทยได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับต่างชาติ เพราะขณะนี้ผู้ประกอบการไทย ต้องการปรับปรุงการผลิต เครื่องจักรทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการแข่งขัน อย่างการต่ออายุบีโอไอให้นักลงทุนไทยที่สิทธิประโยชน์สิ้นสุดแล้ว เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล, ยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรเพื่อให้ปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ รับที่จะไปหารือกับบีโอไอ เพราะหากมีการลงทุนเพิ่ม การส่งออกก็จะเพิ่มไปด้วย ซึ่งการที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้การส่งออกไทยปีนี้เติบโต 4% จากเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 1-2% เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้ 3.5% นั้น เชื่อว่ามีโอกาสทำได้ จากการลงทุนที่เริ่มเห็นผลแล้ว