ทิศทาง "บาท-ดอกเบี้ย-น้ำมัน" วันที่ "ทรัมป์" ป่วนโลก

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ทิศทาง "บาท-ดอกเบี้ย-น้ำมัน" วันที่ "ทรัมป์" ป่วนโลก

Date Time: 17 ก.พ. 2568 09:45 น.

Summary

แม้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ยังไม่ครบ 1 เดือนเต็ม แต่ได้สร้างปาฏิหาริย์ปั่นป่วนตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกอย่างรุนแรง ส่งผลให้ราคาหุ้น สกุลเงิน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกสวิงขึ้นลงเป็นรายวัน

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

แม้ว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ยังไม่ครบ 1 เดือนเต็ม แต่ได้สร้างปาฏิหาริย์ปั่นป่วนตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกอย่างรุนแรง ส่งผลให้ราคาหุ้น สกุลเงิน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกสวิงขึ้นลงเป็นรายวัน ส่งผลให้หัวจิตหัวใจนักลงทุนประหนึ่งนั่งรถไฟเหาะตีลังกา

ทั้งนี้ จากการประเมินผลกระทบ สำนักวิเคราะห์วิจัยเศรษฐกิจ เห็นตรงกันว่า “ผลกระทบจากทรัมป์” จะไม่หยุดแค่ในเดือนแรก แต่จะอยู่ต่อเนื่องไปจนครบ 4 ปีของการเป็นประธานาธิบดี โดยสะท้อนจากทิศทางสงครามการค้า และสงครามการเมืองที่รุนแรงขึ้น “ทีมเศรษฐกิจ” จึงได้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในภาคการเงินการธนาคาร และพลังงาน เพื่อให้เห็นทิศทางในระยะข้างหน้าที่ชัดเจนขึ้น

บาทผันผวนสูงมีโอกาสอ่อนค่า

เริ่มต้นจากทิศทางค่าเงินบาท และดอกเบี้ย “ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์ นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งกล่าวถึงทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทว่า จะมีความผันผวนสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariffs) โดยพบว่าคำขู่และการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ทำให้เงินบาทเปลี่ยนแปลงถึง 30-40 สตางค์ในช่วงข้ามคืน

แต่เหตุที่ค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะในช่วงที่ทรัมป์มีท่าทีผ่อนปรนต่อนโยบาย Tariffs จะพบว่าดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเร็ว พร้อมเงินสกุลภูมิภาครวมถึงเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นตามเงินหยวน อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า ตลาดกลับมากังวลผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าเร็ว และเงินบาทอ่อนค่า

ในระยะต่อไป มองว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าต่อได้ เนื่องจากมาตรการภาษีจะยังสร้างความไม่แน่นอนให้ตลาดการเงินโลก ส่งผลให้นักลงทุนยังมีความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่ง ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าต่อได้ ขณะที่เงินบาทซึ่งมีความสัมพันธ์กับเงินหยวนสูง จึงมีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบต่อเงินดอลลาร์ โดยเงินบาทอาจอ่อนค่าในกรอบ 33.85-34.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้

จับตาทองคำ-เงินทุนเคลื่อนย้าย

“ราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นและแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายก็ส่งผลต่อเงินบาทเช่นกัน โดยความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นทำให้นักลงทุนหันมาถือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเหมือนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งในเวลาที่ราคาทองคำสูงขึ้น จะหนุนให้บาทแข็งค่ากว่าสกุลอื่นในบางช่วง”

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ตลาดการเงินไทย นายแพททริกมองว่า ในช่วงที่ทรัมป์มีท่าทีผ่อนปรนต่อนโยบาย Tariffs มีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าตลาดพันธบัตร (บอนด์) ไทยติดต่อกันเกือบสัปดาห์ อย่างไรก็ดี ข่าวการขึ้น Tariffs ทำให้ตลาดการเงินโลกเกิดภาวะ Risk-off กังวลกับความเสี่ยงในบางช่วง และเงินทุนไหลออกจากตลาดการเงินไทย

โดยนักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และทองคำ ทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับลดลง รวมถึงสกุลเงินภูมิภาคและเงินบาทอ่อนค่า ทั้งนี้ หากสงครามการค้าไม่ทวีความรุนแรงตามที่คาดไว้ เงินทุนเคลื่อนย้ายก็มีแนวโน้มไหลออกน้อยลงในปีนี้

ฟันธงดอกเบี้ยนโยบายลดครั้งเดียว

ต่อเนื่องมาถึงทิศทางดอกเบี้ยโลกและดอกเบี้ยไทย ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะยังแข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังไม่รีบลดดอกเบี้ย โดยตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury yields) ปรับสูงขึ้นเร็ว และตลาดมองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยช้าลง

โดย นายแพททริก มองว่า การ ลดดอกเบี้ย ครั้งแรกของ Fed อาจต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และมองว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้งในปีนี้เท่านั้น ขณะที่ธนาคารกลางหลักอื่น เช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ ตลาดมองว่าจะยังลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยอาจลดดอกเบี้ยได้ถึง 4-5 ครั้งในปีนี้

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย นายแพททริกมองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ โดยอาจลดได้ในช่วงกลางปี ตามสถานการณ์สินเชื่อที่ปรับแย่ลงต่อเนื่อง รวมทั้งความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มากขึ้นจากต่างประเทศ

รอเฮ! ราคาน้ำมันดิบปีนี้ไม่พุ่ง

จากทิศทางของตลาดเงิน และดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกตลาดหนึ่งซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายของนายทรัมป์คือ ตลาดสินค้า โภคภัณฑ์ และสินค้า นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อดีตกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลอดทั้งปีนี้ จะอ่อนตัวลงจากปี 2567 มาอยู่ในระดับ 70-80 เหรียญฯต่อบาร์เรล เนื่องจากมีปริมาณการผลิตสูงกว่าความต้องการซื้อ ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 แต่ยังมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง จากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ในตะวันออกกลางและสงครามรัสเซียยูเครน

ขณะที่องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันของโลกในปี 2567 จะอยู่ในระดับ 102.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 0.920 ล้านบาร์เรลต่อวัน และปี 2568 จะอยู่ในระดับ 103.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่อุปทานน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ขณะเดียวกัน นโยบายด้านพลังงานของทรัมป์อาจส่งผลกดดันราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่องถึงปี 2568-2569 เพราะนายทรัมป์สนับสนุนการสำรวจ ขุดเจาะและผลิตน้ำมัน รวมถึงการผ่อนคลายกฎ ระเบียบในการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันในประเทศ ที่อาจทำให้ราคาปรับตัวลดลงจากผลผลิตในตลาดสูงขึ้น

“ผมคาดว่าตลาดน้ำมันยังคงมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ความต้องการน้ำมันในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นหลังผ่านการเลือกตั้ง มาตรการกีดกันทางการค้ากับจีน และมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯต่ออิหร่านจะเข้มข้นขึ้น”

สำหรับหน่วยงานด้านพลังงานต่างๆ ได้คาดการณ์ว่าราค้ำมันในปีนี้ จะอ่อนตัวลงจากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 70-80 เหรียญฯต่อบาร์เรล เป็นการอ่อนตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี จากปัจจัยต่างๆ โดย Goldman Sachs คาดว่าน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ระดับ 76 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในปีนี้ และลดลงเหลือ 71 เหรียญฯต่อบาร์เรล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ จะอยู่ 70-80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในปี 2568 ขณะที่ราคาตลาดซื้อขายล่วงหน้า น้ำมันดิบดูไบในเดือน มิ.ย.อาจลดลงเหลือ 70.54 เหรียญฯต่อบาร์เรล และ 69.81 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในเดือน ต.ค.นี้.

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ