
ประเทศไทยบังคับใช้ Global minimum tax (GMT) หรือมาตรการภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ภายใต้พระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ที่กำหนดให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีรายได้รวมทั่วโลกมากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปีอย่างน้อย 2 ใน 4 รอบปีบัญชี ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราภาษีที่แท้จริง (Effective tax rate) ไม่น้อยกว่า 15%
สาเหตุที่ไทยต้องประกาศใช้มาตรการ GMT เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเสนอโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยมีเป้าหมายหยุดการแข่งขันด้านภาษีนิติบุคคลเพื่อดึงดูดการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ จนเกิดเป็นช่องโหว่ให้ธุรกิจสามารถเลี่ยงภาษีโดยโยกย้ายกำไรไปบันทึกในประเทศที่ภาษีต่ำ (tax haven) แทน ทำให้รัฐบาลในประเทศที่บริษัทเหล่านั้นดำเนินการอยู่ต้องสูญเสียรายได้มหาศาล
ทั้งนี้ปัจจุบันไทยจัดเก็บอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 20% แต่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษี ทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงอยู่ต่ำกว่า 15% บริษัทดังกล่าวจึงจะต้องถูกเก็บภาษีเพิ่ม (Top-up Tax) เพื่อให้ถึงขั้นต่ำที่ 15%
KKP Research วิเคราะห์ผลกระทบหลังไทยประกาศใช้มาตรการ Global minimum tax คาดว่าผลกระทบต่อแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยจะมีไม่มาก เนื่องจากไทยมีข้อได้เปรียบใน 3 ด้าน
1.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของไทยและประเทศคู่แข่งมีความใกล้เคียงและไม่ได้แตกต่างกันมาก อัตราภาษีในไทยที่ 20% ถือว่าใกล้เคียงกับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ที่ 17-25% นอกจากนี้ นโยบายต่าง ๆ ที่แต่ละประเทศนำมาใช้เพื่อดึงดูด FDI ก็มีความคล้ายคลึงกัน
2.ปัจจัยที่ดึงดูด FDI ของไทยไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียว แต่มีอีกหลายปัจจัยที่มีบทบาทที่สำคัญมากกว่า เช่น
3. รัฐบาลจะมีการออกนโยบายมาลดทอนผลกระทบเพิ่มเติม ซึ่งประกอบไปด้วยการขยายระยะเวลาสิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% นานขึ้น 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10 ปี และนำเงินรายได้ภาษีที่รัฐจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นประมาณ 50-70% ไปสมทบกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้ BOI สามารถนำไปใช้ดำเนินมาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อลดทอนค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทข้ามชาติได้
อย่างไรก็ตาม แม้การปฏิรูปกฎเกณฑ์ทางภาษีระดับโลกอาจจะส่งผลกระทบต่อไทยไม่มาก แต่รัฐบาลต้องเร่งจัดสรรทรัพยากรและรายได้ภาษีที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น มาลงทุนกับนโยบายระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ เนื่องจากปัจจุบันภาคการผลิตของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างรุนแรง จากความสามารถในการแข่งขันสินค้าส่งออกหลักของไทยที่ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกอีกต่อไป ทำให้ไทยต้องเสียส่วนแบ่งเม็ดเงิน FDI ให้กับประเทศคู่แข่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนทักษะแรงงานให้เท่าทันกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกยุคปัจจุบัน จะช่วยให้การลงทุนจากต่างประเทศสร้างมูลค่าและประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจไทยได้มากขึ้น
ที่มา
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney