“สารัชถ์ รัตนาวะดี” ชื่อนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะนี่ไม่ใช่แค่เจ้าพ่อแห่งวงการ “พลังงาน” จากตำแหน่ง CEO ของ กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เจ้าของสินทรัพย์มูลค่าร่วม 4.86 แสนล้านบาท (ณ 30 ก.ย. 2567) ภายใต้คาดการณ์ของนักวิเคราะห์ต่างๆ ว่า ปี 2567 GULF จะทำกำไรหลักสูงสุดเป็นประวัติการณ์
แต่ “สารัชถ์” ยังควบตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยประจำปี 2567 ด้วยมูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ตัวเลขสูงที่สุดในทำเนียบ ตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเคยเก็บข้อมูลมา ขณะความร่ำรวยของ “สารัชถ์” นั้นติด Top 3 ของประเทศเป็นรองแค่เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ และเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เท่านั้น จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes ภายใต้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิราว 10,700 ล้านดอลลาร์
ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า แม้กัลฟ์จะขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตพลังงานชั้นนำของประเทศไทย มีโครงการโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซและพลังงานหมุนเวียนให้บริการแก่รัฐ (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.) และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมเรื่อยไปจนถึงเชิงพาณิชย์ เรียกว่าธุรกิจมั่นคงแข็งแรง ไม่มีใครเทียบ
- การผลิตไฟฟ้า
- จัดหาและจำหน่ายก๊าซ
- โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล (พลังงานหมุนเวียน)
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (พลังงานหมุนเวียน)
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (พลังงานหมุนเวียน)
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (พลังงานหมุนเวียน)
แต่การขยายธุรกิจของ GULF ไม่ได้หยุดแค่นี้ เพราะ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ยังพากลุ่มธุรกิจเข้าไปลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรมที่ถือเป็นโอกาสแห่งอนาคตมากมาย
โดยเมื่อปี 2562 กัลฟ์เริ่มลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคทั่วประเทศ รวมถึงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างสถานีขนส่ง LNG, การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 (ท่าเทียบเรือ F) ในส่วนการก่อสร้าง การเดินเครื่อง และการบำรุงรักษาท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์, โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) โครงการบริการเดินรถและซ่อมบำรุงมอเตอร์เวย์ระหว่างเมือง บางใหญ่ - กาญจนบุรี (M81)
อีกทั้ง กัลฟ์ยังเข้าไปร่วมทุนเพื่อลงทุนและดำเนินงานระบบจำหน่ายไฟฟ้าและระบบทำความเย็นสำหรับโครงการ One Bangkok โปรเจ็กต์ระดับยักษ์กลางเมืองอีกด้วย
ก่อนปรากฏข่าว กัลฟ์กระโดดเข้าลงทุนเพิ่มเติมในกลุ่มธุรกิจด้านโทรคมนาคม, ดิจิทัล และศูนย์ข้อมูล AI โดยปัจจุบัน กัลฟ์ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ INTUCH และ THCOM โดยคาดกันว่าเตรียมใช้ต่อยอดเพื่อพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจอวกาศใหม่ๆ (New Space Economy)
ขณะเดียวกัน กัลฟ์ยังประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) ผ่าน Gulf Binance
และเมื่อเร็วๆ นี้ ยังเข้าถือหุ้นใน GSA Data Center ซึ่งเป็นผู้พัฒนาธุรกิจศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย คาดต้องการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ควบคู่กับการจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจแบบมีชั้นเชิง
วานนี้ ในเวทีสัมมนาใหญ่ประจำปี “Chula Thailand Presidents Summit 2025” งานสัมมนารวมนิสิตเก่าจุฬาฯ นับเป็นครั้งแรกๆ ที่ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ยอมเล่าถึงที่มาที่ไปของการสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ และอนาคตของกัลฟ์จะไปทางไหน? เมื่อการลงทุนไม่ได้หยุดแค่ธุรกิจพลังงาน
โดย “สารัชถ์” เล่าว่า เดิม 30 ปีก่อน กัลฟ์เริ่มตั้งตัวมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน บ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างนับ 7 ปี ในยุคของ 4 รัฐบาล ที่มีทั้งแรงผลักและแรงต้านจากกระแสสังคม ความกังวลเกี่ยวกับด้านสิ่งแวดล้อม
ก่อนวัฏจักรเปลี่ยนเข้าสู่ยุค “แก๊สธรรมชาติ” ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในประเทศไทย โดยความมั่นคงทางด้านพลังงานของไทย ยังมีเพียง ปตท. เป็นผู้เล่นหลัก นำเข้าแก๊สผ่านท่อจากเมียนมาร์และอินโดนีเซียเป็นหลัก ถัดมามีการพัฒนานวัตกรรม สามารถนำเข้าด้วยกรรมวิธีอัดเหลว ไทยนำเข้ามาจากหลายประเทศได้มากขึ้น เพื่อนำมาผลิตไฟฟ้าแจกจ่ายในประเทศ อาจกล่าวได้ว่า อาณาจักรของกัลฟ์เติบโตขึ้นมาจากยุคทองของธุรกิจพลังงาน ไม่ผิดนัก
อย่างไรก็ดี สงครามในตะวันออกกลาง รัสเซีย - ยูเครน ในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้า ทำให้ราคาพลังงานตกอยู่ในภาวะ “ผันผวน” ส่งผลให้กัลฟ์เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ มีการศึกษาและเจรจากับหลากหลายธุรกิจ เช่น โซลาร์เซลล์พลังงานลม แต่ต้องพับแผนไป เนื่องจากในอดีตต้นทุนสูงมาก ประเมินแล้วไม่คุ้มค่า
ทั้งนี้ ธุรกิจพลังงานที่ถือเป็น 1 ในความมั่นคงของประเทศ ยังถือเป็นโอกาสทองที่มีอนาคต มีเพียงโจทย์ที่ต้องสะอาด - ปลอดภัย และราคาถูก ทำให้ปัจจุบัน ธุรกิจพลังงานยังเป็น Core Business ของกัลฟ์ มีการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เช่น เมื่อปี 2563 เข้าไปเข้าซื้อหุ้น 50% โรงไฟฟ้าพลังลมในทะเลเหนือของเยอรมนี, การเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้าในเมืองชิคาโกของสหรัฐฯ โดยมีแผนจะขยายต่ออีกหลายแห่ง ส่วนเมื่อปี 2566 เพิ่งปิดดีลลงทุนโรงไฟฟ้าลมนอกชายฝั่งในอังกฤษอีก 1,500 เมกะวัตต์ ฯลฯ
“การลุยลงทุนของบริษัท สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่แค่ผลดำเนินงาน แต่ได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ต่างประเทศใช้ มาปรับใช้ในการผลิตในไทยด้วย เห็น Market Trend หรือแนวโน้มตลาดโดยเฉพาะ ความต้องการในแง่พลังงานสะอาด และเห็นต้นทุนการผลิตที่เริ่มถูกลง”
ท่อนหนึ่งของการเสวนา เจ้าพ่อ GULF ตอบคำถามของพิธีกร ถึงแรงจูงใจในการลงทุนข้ามอุตสาหกรรม หลัง “สารัชถ์ รัตนาวะดี” กลายเป็นเจ้าของ AIS และ THCOM (ไทยคม) พร้อมส่ง กัลฟ์ ไบแนนซ์ บุกตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล สร้างความเป็น 1 ในทุกอุตสาหกรรม
ว่าการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ของกัลฟ์ เป็นไปเพื่อตอบสนองเทรนด์ของโลก ทั้งยุคปัจจุบันและอนาคต โดยตัวแปรสำคัญคือความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแบบก้าวกระโดด โลกก้าวเข้าสู่ยุค Automation และ AI อย่างสมบูรณ์แบบ การบริหารจัดการตู้คอนเทนเนอร์ ท่าเรือต่างๆ ใช้หุ่นยนต์แบบเบ็ดเสร็จ แทบไม่มีแรงงาน “มนุษย์” นั่นหมายถึง ธุรกิจที่เกี่ยวกับ Data กำลังจะมีบทบาทมากขึ้น Digital Technology ที่มีความเกี่ยวพันกับกิจกรรมของมนุษย์มากขึ้น
“กัลฟ์เคยอยากทำ data center มานานแล้ว แต่ยังหาพาร์ทเนอร์ที่เหมาะไม่ได้ และยังขาดแนวคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ก่อนช่วงโควิด-19 มีจังหวะในการเข้าลงทุนใน AIS ทางอ้อม กลายเป็นใบเบิกทางที่ทำให้เราเข้าไปสู่ในโลกอนาคต”
ในประเด็นดังกล่าว “สารัชถ์” ยังตอกย้ำว่า ธุรกิจโทรคมนาคมไม่ใช่ความล้าสมัย หรือถูกจำกัดความแค่ธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับมือถือเท่านั้น
หากแต่ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศอย่างหนึ่ง เต็มไปด้วย Data มากมาย มีโอกาสจากเทคโนโลยี 5G และอินเทอร์เน็ตบรอดแบรนด์ และนั่นก็ช่วยสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มบริษัทอย่างมีนัย
ส่วนแรงจูงใจ นำมาซึ่งการลงทุน Gulf Binance ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล-นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ลุยตลาดคริปโตในไทยนั้น
“สารัชถ์” ให้เล่าว่า เดิมไม่ใช่คนที่มีความสนใจ หรือ ลงทุนคริปโตฯ แต่ไม่ต่อต้าน และกลับเห็นเป็นโอกาสมาแรง จากกระแสความนิยม ช่วงปี 2566
“อะไรที่มาแรง คนสนใจเยอะ แต่เรานิ่ง ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเลย ต่อไปจะลำบาก ซึ่งการหาพาร์ทเนอร์มาร่วมลงทุน น่าจะเป็นทางที่เหมาะมากกว่าลงทุนเอง เพราะยังไม่มีความเชี่ยวชาญพอในการเจาะตลาดใหญ่ระดับโกลบอล บังเอิญได้รู้จักกับเจ้าของไบแนนซ์ ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ชวนมาเปิด Exchange ที่เมืองไทย ก่อนเข้าสู่กระบวนการขอใบอนุญาต ซื้อ-ขาย กับ กลต.ตามกฎหมาย”
ทั้งนี้ CEO ดัง ยังกล่าวสนับสนุน แนวคิดของอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” ถึงไอเดีย เตรียมปั้นภูเก็ตเป็น Bitcoin Sandbox เตรียมออกเหรียญดิจิทัล สามารถให้นักท่องเที่ยวใช้คริปโต ชำระค่าสินค้าและบริการได้ เช่นเดียวกับกรณีล่าสุด ที่กระทรวงการคลัง เล็งออก Stable coin อิงพันธบัตรรัฐบาล มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท
โดยระบุว่า เป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนจากโอกาสและการเติบโตของเหรียญสำคัญ เช่น บิทคอยน์ พุ่ง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการที่ไทยไม่ขยับเพื่อรับโอกาสนี้เลย หรือ กัลฟ์ไม่สนใจเลย ในอนาคตอาจตกขบวน หรือ ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปง่ายๆ
ทั้งนี้ ประเมินว่า ทิศทางของสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดโลก ยังสดใสอีกมาก อีกทั้ง การที่ผู้นำสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างชัดเจน ว่าอาจใช้ Bitcoin เป็นกองทุนสำรองของสหรัฐ ซื้อ Bitcoin เข้าคลังนั้น
จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การเข้าตลาด เกิดขึ้นได้ยากมากขึ้น เกิดการไหลของเงินทุน ไปสู่สหรัฐฯในเวลาอันรวดเร็ว ทุกความสนใจมุ่งไปสู่มหาอำนาจ ทิ้งห่างชาติอื่นๆไปเรื่อยๆ
อีกความเคลื่อนไหวสำคัญ ยังต้องจับตา ศูนย์กลางการเงินโลก อย่าง “ฮ่องกง” ที่เตรียมเพิ่มบิทคอยน์ เข้าในทุนสำรองของภูมิภาคในช่วงปี 2568 ก็จะถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนที่สร้างความร้อนแรงให้ตลาดคริปโตฯได้เช่นกัน
“การทำแซนด์บ็อกซ์คริปโตฯในภูเก็ต ถือเป็นไอเดียที่ดี และอาจทำให้ไทยมีโอกาสมากขึ้น 1. โอกาสในการพัฒนาไปสู่ฟินเทคฮับของเอเชียได้ 2. เกิดดิจิทัลฮับ และคริปโตฮับของเอเชีย เพราะคนต่างชาติอยู่อาศัยในภูเก็ตเยอะ”
การใช้คริปโต ซื้อสินค้าและบริการได้ โอนข้ามประเทศได้ อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของภูเก็ต เพราะรัฐบาลยังมองไกลไปถึง การนำไปใช้ ซื้อบ้าน หรือ ซื้อรถ ในภูเก็ตได้อีกด้วย
ในเวทีเดียวกัน “สารัชถ์” ที่ถูกหยิบยกว่า เป็น Future Leader สร้างธุรกิจ สร้างประเทศ ด้วยกิจการโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน ท่าเรือ การขนส่ง โทรคมนาคม ไปจนถึง เจ้าของ Data มหาศาล
ยังกล่าวถึง ความเก่งกาจของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เกิดความล้ำหน้า เขย่าโลกรายวัน ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT มาจนถึง DeepSeek จากจีน ว่า AI ทุกตัว ล้วนแต่ต้องอาศัยพลังงานไฟ นั่นก็คือโอกาสของธุรกิจพลังงาน
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลหลายชาติ ใช้ AI มหาศาล ในการดำเนินกิจการของรัฐ เช่น การจัดการจราจรกัลฟ์ในฐานะผู้ถือหุ้นดาวเทียมไทยคม เห็นว่า เราสามารถนำกิจการมาสนับสนุนการแก้ปัญหาของประเทศไทยได้เช่นกัน
โดยกัลฟ์ อยู่ระหว่าง เตรียมนำความเก่งของ AI มาช่วยประเมินและแก้ปัญหา PM2.5 เช่น การค้นหาพิกัด จุดความร้อน (Fire Hotspot) รายภูมิภาค เรื่อยไปจนถึง Hotspot ในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นต้นตอหนึ่ง ทำให้ไทยเผชิญกับปัญหา PM2.5 รุนแรง เพราะAI ยังมีความสามารถประเมินทิศทางลม เป็นข้อมูลที่เราสามารถมอบให้หน่วยงานรัฐ เพื่อนำไปสู่การป้องกันและแก้ปัญหาได้
เนื่องจาก วันนี้ปัญหาฝุ่น PM2.5 มีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ที่ยังพอไปได้ ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ เหมือนการส่งออก คนต่างชาติ ยังอยากมาท่องเที่ยวประเทศไทย เงินบาทที่ “อ่อนค่า” ก็ยังเป็นปัจจัยสนับสนุน ปัญหาฝุ่นไม่ควรมาเป็นปัจจุยฉุดรั้ง
ท้ายที่สุด เจ้าตัวยังได้เผยถึง มุมมองเศรษฐกิจไทย ในภาพใหญ่ ว่า เมืองไทย ยังมีความหวัง อะไรที่เป็นปัญหาโครงสร้างภายใน ก็ต้องแก้กันไป และขอฝากให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งเรื่อง หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน ภาคการผลิต อย่าง รถยนต์ ที่ผลิตได้น้อยลง และเริ่มขายไม่ออก ส่วนแนวคิด สร้าง Entertainment Complex ที่มีทั้งแรงสนับสนุน และคัดค้าน นั้น คงต้องรอดูผลลัพธ์ อย่างไรก็ดี ให้พิจารณาในแง่ เศรษฐกิจ และสังคม ที่เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน.
ปี 2563
-รายได้ 33,370 ล้านบาท
-กำไรสุทธิ 4,282 ล้านบาท
ปี 2564
-รายได้ 49,983 ล้านบาท
-กำไรสุทธิ 7,670 ล้านบาท
ปี 2565
-รายได้ 95,076 ล้านบาท
-กำไรสุทธิ 11,417 ล้านบาท
ปี 2566
-รายได้ 116,950 ล้านบาท
-กำไรสุทธิ 14,857 ล้านบาท
ปี 2567 (ณ 30 ก.ย.)
-รายได้ 96,155 ล้านบาท
-กำไรสุทธิ 14,269 ล้านบาท
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่