เศรษฐกิจไทย ปี 2568 และ ปี 2569 ถูกประเมินว่า การเติบโตของ GDP จะอยู่ในช่วง “ขาลง” ที่ 2.6% และ 2.4% ตามลำดับ
เหตุเพราะยังไม่เห็นแนวโน้มการฟื้นกลับมาของหลายๆ ตัวแปร แม้รัฐบาลจะพยายามอย่างหนัก ผ่านการ “แจกเงิน”
หากแต่ปัญหาที่แท้จริงคือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อให้เติบโต หนี้ครัวเรือนสูง, เหลื่อมล้ำ และผลิตแต่สินค้าโลกลืม อีกทั้ง กำลังท้าทายจาก จีน-สหรัฐ ยกระดับสงครามการค้า
หนำซ้ำ ไทยยังถูกกดดันจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป มาอยู่ในฐานะ สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น (Aged Society) ส่งผลแนวโน้มรัฐต้องแบกรายจ่ายมากกว่ารายรับ
กลายเป็นข้อคำถามว่า อะไร? คือ ทางรอดของเศรษฐกิจไทยในยุคหน้า ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลเพื่อไทย ในการปลุกปั้นเขตพัฒนาพิเศษ อย่าง “กาสิโน” ที่มีชื่อเพราะๆ ว่า Entertainment Complex หวังพาการท่องเที่ยวไทยไปสู่เวทีโลก วางเป้ารายได้เข้าประเทศนับแสนล้านบาท
ด้านพรรคเพื่อไทย ชี้ นี่ไม่ใช่เพียงการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยในรูปแบบใหม่ๆ ตามเทรนด์โลก ที่นักเดินทางยอมจ่ายเพื่อแลกกับประสบการณ์
หากแต่เป็นการดึงเศรษฐกิจที่อยู่ใต้ดินมานาน (Underground Economy) ขึ้นมาอยู่บนดินอย่างถูกต้อง เข้าระบบภาษี สร้างรายได้ และนำส่วนนี้ไปจัดสรร พัฒนาประเทศต่อไป
เจาะข้อมูลสำคัญของ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เมื่อกล่าวถึงเศรษฐกิจใต้ดิน ไม่ได้สะท้อนแค่ในเรื่องสิ่งผิดกฎหมายและการพนันเท่านั้น หากแต่นับเป็น 1 ใน Top Agenda เรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องเข้ามาเร่งจัดการในมิติของคนนอกระบบ และกับดักหนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ยากที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เต็มศักยภาพ หากยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำสูง และหนี้ครัวเรือนที่เมื่อรวมกับหนี้นอกระบบแล้ว อาจมีตัวเลขสูงถึง 104% ของ GDP
จากข้อมูลในชุดเดียวกัน ระบุ 5 ประเด็นสำคัญที่รัฐบาลควรเร่งผันเศรษฐกิจนอกระบบ เข้าสู่ในระบบให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกบกับข้อมูลหนี้ครัวเรือนในระบบจากฐานข้อมูลของ ธปท. อาจอนุมานได้ว่าหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเมื่อรวมหนี้นอกระบบเข้าไปแล้วอาจสูงถึงระดับ 104% เลยทีเดียว
โดยพบว่า เงินกู้นอกระบบคิดเป็น 80% ของแหล่งเงินกู้รองทั้งหมด สะท้อนว่าเป็นที่พึ่งสำคัญในยามที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งกู้เงินในระบบ และยังพบว่าในหมู่ประชาชน 70% กู้มาเพื่อผ่อนรถยนต์/จักรยานยนต์ และใช้ในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่เปราะบาง
แต่ที่สำคัญ มีผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบและไม่เสียภาษีฯ อยู่กว่า 26% สะท้อนว่าเป็นกลุ่มเปราะบางที่รัฐบาลขาดข้อมูลในการกำหนดนโยบายช่วยเหลือ และการไม่อยู่ในระบบภาษีอาจเป็นข้อจำกัดหนึ่งในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ดังนั้น การดึงกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ในระบบภาษี อาจช่วยปลดล็อกหนี้นอกระบบได้บ้าง
ท้ายที่สุด การเร่งผันเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ ทำได้ด้วยมาตรการที่หลากหลาย เช่น
1. ลดอุปสรรคในการเข้าสู่ระบบ เช่น ลดขั้นตอน เอกสาร ระยะเวลา และต้นทุน รวมถึงเน้นให้บริการแบบ One stop service ซึ่งเห็น success case ในประเทศเม็กซิโก ที่หลังจากเริ่มระบบ One stop service ทำให้การจดทะเบียน formal businesses เพิ่มขึ้น 15%
2. สร้าง incentive ด้วยมาตรการทางภาษีและอื่นๆ เช่น Negative income tax นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ หรือการ e-government procurement ในสิงคโปร์ที่พัฒนาระบบนี้ จนทำให้ 80% ของสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเกิดกับ SME เป็นต้น
ที่มา : KKP Research ,ธปท., Krungthai COMPASS
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney