ปี 2568 ปีปั่นป่วนของ “ภาคธุรกิจไทย” ค่าแรงใหม่ ดัน “ต้นทุน” เปิดโผ กลุ่มไหนเด่น กลุ่มไหนร่วง?

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ปี 2568 ปีปั่นป่วนของ “ภาคธุรกิจไทย” ค่าแรงใหม่ ดัน “ต้นทุน” เปิดโผ กลุ่มไหนเด่น กลุ่มไหนร่วง?

Date Time: 13 ม.ค. 2568 10:51 น.

Video

อย่ากลัว! วิกฤติใหญ่ยังไม่เกิด หาโอกาสลงทุน กับ กวี ชูกิจเกษม | Thairath Money Night Stand EP.21

Summary

เทรนด์ปี 2568 ปีแห่งความปั่นป่วนของ “ภาคธุรกิจไทย” เศรษฐกิจโลกเสี่ยงผันผวน ค่าแรงใหม่ ดัน “ต้นทุน” SMEs ส่อแข่งยาก เปิดโผ อุตสาหกรรมกลุ่มไหนเด่น กลุ่มไหนร่วง? เมื่อผู้บริโภค ยังระมัดระวังการใช้จ่าย

Latest


มีการคาดการณ์ “เศรษฐกิจไทย” ปี 2568 จะเติบโตในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้า เหตุจากพระเอกหลักอย่าง “การส่งออก” จะลดลง จากความเสี่ยงของสงครามการค้าโลก เศรษฐกิจจีนอ่อนแอ และภาคการผลิตไทยที่ยังปรับตัวไม่ทัน

กลายเป็นคำถามว่าปัจจัยเสี่ยงข้างต้นจะกระทบต่อภาคธุรกิจและผู้ประกอบการอย่างไรบ้าง? ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้คำนิยามว่า ปี 2568 จะยังเป็นปีที่ปั่นป่วนสำหรับภาคธุรกิจไทย

ซึ่งก็มาจากปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่อุตสาหกรรมไทยจะฟื้นตัวต่างกัน โดยรวมสถานการณ์อุตสาหกรรมไทยคงจะไม่ดีขึ้นได้มากนัก

3 ปัจจัยกดดันต่างประเทศ

1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจหลักในโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป

2. ความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ ทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่หากขยายวงไปมากกว่าที่กังวล จะกระทบต่อต้นทุนการขนส่ง ราคาสินทรัพย์ต่างๆ (พลังงาน วัตถุดิบ อัตราแลกเปลี่ยน) ให้มีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น

3. ผลของสงครามการค้ารอบใหม่ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ จะมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการค้าและการลงทุนของอุตสาหกรรมไทยดังได้กล่าวข้างต้น จึงต้องติดตามรายละเอียดเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

3 ปัจจัยกดดันในประเทศ 

นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่

1. มาตรการภาครัฐบางเรื่องอย่างการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 2.9% ทั่วประเทศ จาก 345 บาท/วัน เป็น 355 บาท/วัน ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 โดยมี 4 จังหวัด (ภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง) กับ 1 อำเภอ (เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี) ที่แตะ 400 บาท/วัน ซึ่งมองว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอีกไม่ต่ำกว่า 2% (ปัจจัยอื่นคงที่) และอาจกระทบมาร์จิ้นธุรกิจให้ลดลง โดยเฉพาะในธุรกิจที่ใช้แรงงานทักษะน้อยในสัดส่วนสูง ได้แก่ เกษตร ก่อสร้าง ที่พักแรมและร้านอาหาร ค้าปลีก รวมถึงการผลิต

2. แผนการปฏิรูประบบภาษี โดยเฉพาะการกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) ที่ 15% สำหรับบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้รวมเกิน 750 ล้านยูโรต่อปี ให้สอดคล้องกับเกณฑ์ OECD Pillar 2 ซึ่งหากบริษัทข้ามชาติใดมีอัตราภาษีที่แท้จริงต่ำกว่า 15% จะต้องถูกเก็บภาษีเพิ่ม (top-up tax) เพื่อให้ถึง 15% ตั้งแต่ปี 2568 ภายใต้พระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อ 26 ธันวาคม 2567 นั้น คงจะส่งผลกระทบต่อบริษัทข้ามชาติที่เข้าข่าย ทำให้การลงทุนในไทยน่าสนใจน้อยลง

3. ประเด็นเชิงโครงสร้างด้านความสามารถในการแข่งขัน หนี้ที่สูง การเป็นสังคมสูงวัย ก็ล้วนจะกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของภาคธุรกิจ

อุตสาหกรรมไหนฟื้น - อุตสาหกรรมไทยร่วง!

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังชี้ว่า แม้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ของภาครัฐจะกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน แต่ผลบวกของโครงการต่างๆ เช่น ดิจิทัล พลังงานสะอาด ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ (Entertainment Complex) กว่าจะเริ่มต้นลงทุนคงต้องใช้เวลา และอานิสงส์น่าจะตกอยู่กับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่หรือธุรกิจร่วมทุนกับต่างชาติที่มีความพร้อมในด้านต่างๆ (เงินทุน เทคโนโลยี แรงงาน) เป็นหลัก

สำหรับปี 2568 อุตสาหกรรมไทยจะยังฟื้นตัวต่างกัน โดยแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม

1. กลุ่มที่จะดีขึ้นกว่าปีก่อน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสุขภาพ (โรงพยาบาลเอกชน อาหารและเครื่องดื่ม) สอดรับไปกับเทรนด์การใส่ใจดูแลสุขภาพของผู้บริโภค และการเป็นสังคมสูงวัยทั้งในไทยและหลายประเทศทั่วโลก โดยประเมินว่า รายได้ของโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2568 จะขยายตัวที่ 7.0% เร่งขึ้นจากที่เราประเมินไว้ที่ 6.3% ในปี 2567

2. กลุ่มที่ยังขยายตัวแต่ในอัตราที่ชะลอลงจากปีก่อน ได้แก่ โรงแรมและร้านอาหาร ค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค ขนส่งและคลังสินค้า เนื่องจากแรงส่งการฟื้นตัวหลังโควิดของการท่องเที่ยวจะเริ่มแผ่วลง ประกอบกับมีความท้าทายจากกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศท่ามกลางสถานการณ์แวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อีกทั้งในฝั่งผู้ประกอบการก็เผชิญการแข่งขันที่สูงในการดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพซึ่งอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก

โดยคาดว่า รายได้การท่องเที่ยวจากทั้งชาวต่างชาติและคนไทยเที่ยวในประเทศปี 2568 จะยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดในปี 2562 ที่ 3 ล้านล้านบาท มูลค่าค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคปี 2568 จะขยายตัว 3.0% ชะลอลงจากปี 2567 ที่เติบโต 4% รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ายังเผชิญโจทย์ความสามารถในการแข่งขัน โดยคาดมูลค่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าปี 2568 จะเติบโต 1.6% ชะลอลงจากปี 2567 ที่ขยายตัวเกือบ 10%

3. กลุ่มที่หดตัวจากปีก่อน ได้แก่ สินค้าคงทนทั้งอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย และรถยนต์ จากแรงฉุดกำลังซื้อที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่หากเทียบกับอุปทานในตลาดที่มีอยู่มาก

โดยประเมินว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปี 2568 จะหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หรืออยู่ที่ราว 336,000 หน่วย เทียบกับ 340,000 หน่วยในปี 2567 และยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หรืออยู่ที่ราว 530,000 คัน เทียบกับราว 570,000 คันในปี 2567

หากพิจารณาในมิติขนาดของธุรกิจ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า กลุ่มที่เสี่ยงคือ ธุรกิจขนาดกลางลงล่าง (MSME) ในภาคการผลิต ซึ่งเผชิญปัญหาสะสมจนแข่งขันไม่ได้มากขึ้นๆ ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อาจปรับลดลงอีกเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน

โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ เคมีภัณฑ์ โลหะ แฟชั่น ส่วนในภาคการค้าและบริการ ได้แก่ ที่พักแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก แม้จำนวนผู้ประกอบการอาจเพิ่มขึ้น ตามการหมุนเวียนเข้าออกที่รวดเร็ว แต่การแข่งขันที่สูงขึ้น ท่ามกลางการใช้จ่ายที่ยังระมัดระวังของผู้บริโภค ทำให้การรักษายอดขายเพื่อยืนระยะทางธุรกิจก็คงจะไม่ง่ายเช่นกัน

ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่ 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ