
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-ออสเตรเลีย และไทย-นิวซีแลนด์ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.48 ไทยได้ทยอยลดภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจาก 2 ประเทศเป็น 0% และยกเลิกมาตรการปกป้องพิเศษ ภายใน 20 ปี หรือในปี 68 โดยสินค้านมและผลิตภัณฑ์ ทั้งนมดิบ นมผงขาดมันเนย และเครื่องดื่มประเภทนม/นมยูเอชที เป็นสินค้ากลุ่มสุดท้ายที่ไทยจะลดภาษีนำเข้าให้เป็น 0% และยกเลิกมาตรการโควตาภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68 เป็นต้นไป ซึ่งได้สร้างความกังวลในกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย เพราะเกรงว่าผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมในประเทศ จะนำเข้านมผงจากทั้ง 2 ประเทศที่มีราคาถูกกว่าแทนการใช้น้ำนมดิบในประเทศ และอาจทำให้ต้องเลิกอาชีพเลี้ยงโคนม แม้ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐช่วยเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของโคนมไทย แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับนมและผลิตภัณฑ์จากทั้ง 2 ประเทศที่เป็นมหาอำนาจของสินค้าดังกล่าว
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า เอฟทีเอดังกล่าวจะช่วยเพิ่มแต้มต่อและลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการไทยในการผลิต และเพิ่มศักยภาพในการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม ทั้ง โยเกิร์ต และไอศกรีม ไปตลาดอาเซียนและจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ของไทยทยก็ยังสามารถใช้แต้มต่อจากเอฟทีเอส่งออกไปตลาดเอฟทีเอได้ เพราะส่วนใหญ่ยกเลิกเก็บภาษีจากไทยแล้ว และผลจากการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอนี้ ทำให้ช่วง 10 เดือน ไทยส่งออกนมและผลิตภัณฑ์ไปตลาดเอฟทีเอได้สูงถึง 569.3 ล้านเหรียญฯ เพิ่ม 11.5%