รัฐบาลกับความอยู่รอด

เห็นกระบวนการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบของการเปลี่ยนผ่านจากพรรคก้าวไกลที่ถูกยุบสู่การจัดตั้งพรรคใหม่ในชื่อพรรคประชาชน ซึ่งเตรียมการไว้ในแบบเบ็ดเสร็จ และครบถ้วนทั้งองคาพยพ

ตั้งแต่จดทะเบียนพรรคใหม่ เปลี่ยนที่ตั้ง โอนย้ายสาขา ดึง สส.143 คน และสมาชิกกว่าแสนคนเข้าพรรคใหม่ ตามด้วยการขอเงินบริจาค โดยไม่ต้องจัดงานอีเวนต์อีก 25 ล้านบาท สำเร็จ ภายในเวลาเพียง 2-3 วัน ก่อนจะกระจายตัวกันออกไปเดินสายฟ้องประชาชนแล้ว...น่ากริ่งเกรงอยู่ไม่น้อย

การเมืองของคนรุ่นใหม่ที่มองทุกอย่างไปข้างหน้า พร้อมขับเคลื่อนมวลชนให้ตามติดพวกเขาไปด้วยกัน เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลนายกฯเศรษฐาควรตามให้ทัน เพราะพวกเขาไม่ใช่พรรคฝ่ายค้านที่ไร้อนาคตอย่างที่เคยปรามาสเขาไว้

แต่พรรคประชาชนจะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีความแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และสามารถรองรับแรงปะทะได้ทุกรูปแบบโดยไม่หวั่นไหว เพราะไม่ว่าจะด้วยคำพูด การกระทำ หรือท่าทีที่แสดงออก ล้วนแต่ดูจะไม่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อสิ่งใดเลย

โดยเฉพาะเมื่อกระบวนการทางความคิดของพวกเขาจุดติดแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ และวันข้างหน้า เขาจะเป็นตัวหลักในการยืนชกกับรัฐบาล และทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทุกรายการอย่างเข้มข้น

ดังนั้น สิ่งใดที่สื่อ และประชาชนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่า ยังทำงานไม่เข้าตา หรือยังจับต้องนโยบายที่เป็นรูปธรรมไม่ได้ รัฐบาลก็ควรแก้ไขโดยเร็ว

มิสไฟน์ เข้าใจดีว่า ตลอดช่วง 1 ปี ที่รัฐบาล นายกฯเศรษฐา ทวีสิน เข้ามาทำงาน มีนโยบายหลายด้านที่ไม่ได้รับการสนองตอบจากข้าราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เริ่มตั้งแต่ความพยายามจะขอให้แบงก์ชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ให้ยืดระยะเวลาชำระหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เดิมมีโอกาสแก้ไขหนี้ของตัว หลังจากที่แบงก์ชาติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันไป 8 ครั้ง แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติก็ทำสิ่งตรงกันข้ามตลอด

ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท จากกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital wallet) ที่มุ่งหวังจะปรับโครงสร้างทางการเงินของประเทศไทยให้เข้าสู่ระบบการชำระเงินดิจิทัลอย่างเป็นสากลในระยะเวลาอันใกล้

ก็เป็นอีกโครงการที่แบงก์ชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแสดงความไม่เห็นด้วย และคัดค้านอย่างหนักต่อเนื่องเรื่อยมาในทุกประเด็นที่รัฐบาลจะดำเนินการตามโครงการให้แล้วสำเร็จภายใน 6 เดือน

รัฐบาลนี้ยังไม่ได้รับความร่วมมือในการผลักดันให้มีการปรับโครงสร้างภาคการผลิตประเทศให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ทั้งในเรื่องทักษะ การศึกษา ไปจนถึงแหล่งเงินทุน ดอกเบี้ย และค่าเงิน อันเป็นปัจจัยสำคัญด้วย

ล่าสุดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตือนรัฐบาลอีกครั้งว่า แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าราคาถูกจากจีนที่ชื่อ Temu ได้รุกเข้ามาตั้งโรงงานเปิดตลาดขายส่งสินค้าราคาต่ำกว่าทุนในประเทศไทยแล้ว หลังจากที่ไปตีตลาดในประเทศต่างๆจนยับเยินมาหมด

แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐไม่เคยมีมาตรการใดๆจำกัดขอบเขตการดัมพ์ตลาดของสินค้าจีนที่เข้ามาในประเทศเลย ประเทศไทยวันนี้จึงเต็มไปด้วยสินค้าราคาถูกแต่ไม่มีคุณภาพจากจีน

ไม่มีใครอยากให้การเมืองไทยถูกล้มกระดานอยู่ตลอด ทำอะไรได้จึงอยากให้รีบทำเสีย และบริหารอำนาจกับข้าราชการให้ชัดเจนไปเลยว่า ถ้าไม่ช่วยกันคราวนี้ ประเทศไทยไปไม่รอดแน่.

มิสไฟน์

คลิกอ่าน "กระจก 8 หน้า" เพิ่มเติม