บีโอไอเผย 3 ภารกิจนายกฯ “เศรษฐา” ในญี่ปุ่น เข้าร่วมสัมมนาการค้า ดึงการลงทุน พุ่งเป้า 5 อุตสาหกรรม พร้อมพบ 7 ผู้ผลิตยานยนต์ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น และเข้าคุย 40 บิ๊กนักธุรกิจญี่ปุ่นเพื่อชักชวนลงทุนโปรเจกต์แลนด์บริดจ์
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ระหว่างวันที่ 14-18 ธ.ค.2566 ว่า บีโอไอเตรียม 3 ภารกิจหลักให้นายกฯคือการร่วมสัมมนากับภาคการค้าการลงทุนและภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเป็นงานใหญ่ที่สุดหลังมีโควิด-19 มีนักธุรกิจญี่ปุ่นเข้าร่วมกว่า 500 คน นายกรัฐมนตรีจะกล่าวถึงทิศทางและมาตรการด้านเศรษฐกิจ จะสื่อสารให้เห็นถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลไทย ว่ามุ่งเน้นใน 5 สาขาหลัก คืออุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ อุตสาหกรรมดิจิทัลสร้างสรรค์ และการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาคของบริษัทต่างๆ
“ญี่ปุ่นลงทุนในไทยมานาน 40-50 ปี มีฐานการผลิตในประเทศไทย แต่สิ่งที่อยากเชิญชวนให้มาลงทุน มากกว่าการเป็นฐานการผลิต คือการวิจัยและพัฒนาและการตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย โดยช่วง 4 ปีจากนี้ตั้งเป้าว่าจะมีบริษัทชั้นนำของโลกกว่า 100 บริษัทให้เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคในไทย เพื่อสร้างแรงงานทักษะสูงไม่ต่ำกว่า 10,000 อัตราและต่อยอดไปสู่ธุรกิจต่างๆต่อไป ขณะที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ก็จะพูดเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์และรับฟังความคิดเห็นของนักลงทุน ซึ่งการพบนักลงทุนญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้เป็นการลงนามเอ็มโอยู เพราะส่วนใหญ่ลงทุนในไทยอยู่แล้ว แต่จะเป็นการพูดคุยเรื่องแผนธุรกิจในระยะต่อไปว่าจะมีการเตรียมลงทุนอะไรเพิ่มเติมหรือไม่”
สำหรับส่วนที่ 2 จะมีการพบปะของนายก รัฐมนตรีกับ 7 บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อพูดคุยถึงแผนการลงทุน และสื่อสารมาตรการในการสนับสนุนของรัฐบาลไทย เพื่อยืนยันว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับบริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่น ซึ่งเขาอยากให้เราสนับสนุนการทำรถยนต์อีวี รถไฮบริด และอีโคคาร์ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะมาในอนาคต ทั้งเรื่องพลังงานสะอาด และการประหยัดพลังงาน การใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมกันนี้ จะพบกับภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เช่น พานาโซนิค ที่เป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีและแบตเตอรี่ระดับโลก รวมถึงคูโบต้า ผู้ผลิตเครื่องมือการเกษตรรายใหญ่ในประเทศไทย และบริษัท มิตซุย ที่สนใจเรื่องของพลังงานและเคมี
“การพบบริษัทพานาโซนิคที่ลงทุนในไทยมายาวนาน ปัจจุบันมีโรงงานในไทยกว่า 10 แห่ง เขาเพิ่มการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์อีวี และระบบกักเก็บพลังงานรายใหญ่ของโลก เราก็อยากเชิญชวนให้มาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ส่วนคูโบต้า อยากให้มาช่วยพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่ ว่าจะทำอย่างไรในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรของไทยให้สูงขึ้น และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรบางชนิดที่ไทยยังต้องนำเข้าอยู่”
ส่วนที่มีกระแสข่าวพานาโซนิคจะย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยไปประเทศอื่น
นายนฤตม์กล่าวว่า เป็นเพียงการปิดโรงงานลักษณะเดียวกันขนาดเล็กๆ เพื่อรวมเป็นโรงงานใหญ่ในประเทศไทย พานาโซนิคมีทั้งหมด 11 โรงงาน เป็นโรงงานขนาดใหญ่ 4 โรงงาน ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น อุปกรณ์อัตโนมัติในรถยนต์ และเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในรถยนต์ ส่วนอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่ได้ซับซ้อนก็ไปรวมกับประเทศอื่น
ทั้งนี้ 4 โรงงานมียอดถึง 80% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่ส่วนที่ 3 นายเศรษฐา นายสุริยะ และบีโอไอ จะนำเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างทะเลอ่าวไทยและอันดามัน หรือแลนด์บริดจ์ต่อบริษัทเอกชนรายใหญ่ของญี่ปุ่นที่ลงชื่อเข้าร่วมแล้วกว่า 40 คน อาทิ บริษัทที่เกี่ยวกับการสร้างท่าเรือ การเดินเรือ การประกันภัย การธนาคาร เป็นต้น โดยจะร่วมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการ การพูดคุยกับบรรดาบริษัทเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการร่างทีโออาร์ในอนาคตด้วย.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่