ฝุ่น PM 2.5 หายนะทางสังคม-ความเสียหายทางเศรษฐกิจ เมื่อประเทศต้องสูญเสียโอกาส ผู้คนสูญเสียรายได้ ขณะคนยิ่งจน ยิ่งได้รับผลกระทบ อีกหนึ่งผลสะท้อนความเหลื่อมล้ำของไทย
ค่าฝุ่น PM 2.5 วันนี้ ที่อยู่ในเกณฑ์สีส้ม (เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ) มากถึง 66 พื้นที่ทั่ว กทม. จากการสรุปสถานการณ์ฝุ่นล่าสุดของ ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร
โดยพบว่าเขตหนองแขม บริเวณสามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 เป็นพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูงสุด อยู่ที่ 72.3 มคก./ลบ.ม. ขณะที่ข้อมูลฝุ่นทั่วประเทศ พบมีมากถึง 15 จังหวัด ที่เป็นพื้นที่สีแดง มีฝุ่นเกินค่ามาตรฐานนั้น
สะท้อนภาพวิกฤติเดิมๆ ที่คนไทยต้องเผชิญเป็นประจำในช่วงปลายปีต่อเนื่องต้นปี อีกทั้งต้องหาอุปกรณ์ป้องกัน ดูแลตัวเองจากฝุ่นพิษที่ทำให้เกิดอาการตั้งแต่ไอ คัน หายใจลำบาก ระคายเคืองตา เลือดกำเดาไหล
ไปจนถึงฝุ่นสะสม ส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพเรื้อรัง สังเวยด้วยโรคภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ โรคปอด และโรคมะเร็ง ให้กับมลพิษที่มาทั้งจากท่อไอเสีย ควันดำรถ การเผาไหม้ โรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้างอาคาร กิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้เกิดฝุ่น และฝุ่นที่ปลิวมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้การควบคุมดูแล และแนวทางป้องกันอย่างยั่งยืน
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เคยประเมินไว้ว่า ผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นทั้งในมิติของค่าเสียโอกาสด้านสุขภาพ ด้านการท่องเที่ยว และค่าเสียโอกาสของภาคธุรกิจอื่นๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิต สูดดมฝุ่นในทุกๆ ครั้งที่เกิดวิกฤติ กลายเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ประเมินค่าได้ยาก
หากเจาะผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่เกี่ยวพันจากปัญหาฝุ่นละออง แค่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (กรณีเผชิญค่าฝุ่นระยะ 1 เดือน) อาจแจกแจงได้ ดังนี้
รวมแค่ระยะเวลาสั้นๆ 1 เดือน ฝุ่น PM 2.5 กระทบเศรษฐกิจ คิดเป็นเม็ดเงินรวมราว 3,200–6,000 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งคงไม่ดีนักท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว และต้องการกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นตัวกระตุ้น
ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เคยวิเคราะห์ความเสียหายจากฝุ่น PM 2.5 ในเชิงเศรษฐศาสตร์ ว่า วิกฤติฝุ่นมีผลทำให้รายได้ต่อหัวประชากรในประเทศนั้นๆ ลดลงตามต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูญไป เช่น วิกฤติฝุ่นที่เคยรุนแรงในจีน เมื่อปี 2018 มีผลทำให้รายได้ต่อหัวคนจีนลดลงถึงประมาณ 2,500 หยวน
สอดคล้องกับข้อมูลวิจัยของ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ระบุว่า ฝุ่น PM 2.5 มีผลต่อครัวเรือนไทยในเชิงลบโดยตรง ซึ่งระดับความเข้มข้นของผลกระทบขึ้นอยู่กับมลพิษทางอากาศในจังหวัดที่ครัวเรือนนั้นๆ อาศัยอยู่
ย้อนผลการศึกษาพบว่า ในปี 2562 ฝุ่น PM 2.5 สร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ต่อครัวเรือนไทยอยู่ที่ 2.173 ล้านล้านบาท และหากรวมทุกสารมลพิษ (PM 10, PM 2.5, CO, NOx, NO2) มูลค่าความเสียหายต่อครัวเรือนไทยจะสูงถึง 4.616 ล้านล้านบาท
5 จังหวัดแรกที่มีมูลค่าความเสียหายต่อครัวเรือนสูงสุด จากฝุ่น PM 2.5 ได้แก่
ในเชิงลึกร้ายไปกว่านั้น ปัญหาฝุ่นยังเกี่ยวพันกับความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย เมื่อพบว่าคนยิ่งมีรายได้น้อย ยิ่งได้รับกระทบจาก PM 2.5 จากต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการป้องกันและรับมือฝุ่น
บทความของ Greenpeace Thailand องค์กรอิสระที่รณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ชี้ว่า ฝุ่นพิษ PM 2.5 กับคุณภาพชีวิต และแวดล้อมของผู้คนที่ต่างกัน สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเห็นได้ชัด
เทียบเมื่อหน้ากาก N95 ราคาชิ้นละ 30-35 บาท ที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 เป็นอุปกรณ์จำเป็น หรือแม้แต่เครื่องฟอกอากาศ ราคาค่าตัวอย่างต่ำเครื่องละ 3,000 บาทขึ้นไป แต่ทั้ง 2 สิ่งไม่ใช่ทุกคน หรือทุกครอบครัวจะสามารถครอบครอง เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเองได้ เพราะนั่นคือค่าใช้จ่ายที่งอกเพิ่ม และหน้ากากหนึ่งชิ้นมีราคาเทียบเท่ากับอาหารหนึ่งมื้อ
“มีงานวิจัยระดับโลกหลายชิ้นได้กล่าวถึงความแตกต่างกันทางรายได้และความเสี่ยงต่อมลพิษทางอากาศในสิ่งแวดล้อม แม้ว่าคนกลุ่มที่รายได้น้อยจะไม่ใช่ผู้ก่อมลพิษหลัก เช่น ไม่ได้ขับรถยนต์ส่วนตัว หรือเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม แต่มีคนบางกลุ่มมีความจำเป็นต้องเผชิญมลพิษทางอากาศจากลักษณะของการทำงานกลางแจ้งเวลานาน และลักษณะสถานที่พักอาศัยที่ไม่ได้เป็นตัวอาคารปิด และไม่มีรายได้มากพอที่จะย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองอื่น”
เจาะแนวทางแก้ไขของรัฐบาลเพื่อไทย ที่เคยเสนอไว้ในนโยบายหาเสียง มีถึง 17 แนวทางปฏิบัติ เพื่อทวงคืนอากาศสะอาด ดังนี้
ระยะสั้น
ระยะกลาง
ระยะยาว