ภาคท่องเที่ยวหนุน เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 เงินบาทแนวโน้มอ่อนค่า

ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนกันยายน และไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน 2566 อยู่ในทิศทางฟื้นตัว 

โดยกิจกรรมในภาคบริการฟื้นตัว ต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับมูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำปรับเพิ่มขึ้น ในหลายหมวดสินค้า ด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรมทรงตัว ขณะที่อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและ การลงทุนภาคเอกชนชะลอลงหลังจากเร่งไปในช่วงก่อนหน้าสำหรับการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจากทั้งรายจ่าย ของรัฐบาลกลางและการลงทุนรัฐวิสาหกิจ

เมื่อดูรายละเอียดภาคการท่องเที่ยว พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ที่ 2.1 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากเดือนสิงหาคมซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.4 ล้านคน

เมื่อขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้ว พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ตามจำนวนนักท่องเที่ยวในเกือบทุกสัญชาติ โดยเฉพาะ

1. เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน
2. ตะวันออกกลาง และยุโรป ที่กลับมาขยายตัวหลังจากที่ชะลอไปในช่วงก่อนหน้า และ
3. จีน ที่ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากมาตรการยกเว้นการยื่นวีซ่าในช่วงปลายเดือน 

สำหรับรายรับภาคการท่องเที่ยวยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวและอัตราการเข้าพักแรมที่เพิ่มขึ้น

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ เฉลี่ยอ่อนค่าลง ในเดือนกันยายน จาก 3 ปัจจัยหลัก ดังนี้

1. เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น หลังตลาดคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับสูงยาวนานขึ้น
2. เงินหยวนอ่อนค่า จากเศรษฐกิจจีนที่ยังเปราะบาง ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าไปด้วย
3. นักลงทุนรอความชัดเจนของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

สำหรับดัชนีค่าเงินบาทเฉลี่ยอ่อนค่าลง จากเงินบาทที่อ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 พบว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวจากไตรมาสก่อนตามการบริโภคภาคเอกชนและภาคบริการที่ปรับดีขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ 

ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำเพิ่มขึ้นจากการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วน และปิโตรเลียมเป็นสำคัญ สอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับเพิ่มขึ้น 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงจากหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์หลังจากได้เร่งไปก่อนหน้า ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจากทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน