
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการนำเข้าหมูเถื่อน โดยเมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา นายกฯได้มีการเรียกหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมศุลกากร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามาหารือรายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติม
โดยกรมศุลกากรนั้น นายกฯได้สั่งการให้เข้มงวดในการตรวจจับสินค้านำเข้ามากขึ้น และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมปศุสัตว์ เพื่อเร่งทำลายหมูที่มีการตรวจจับได้จำนวนมากเพื่อให้มีข้อยุติ ทั้งนี้ พบว่าปัจจุบันราคาหมูในตลาดก็ปรับลดลงแล้ว ขณะที่ได้มอบหมายให้ ธ.ก.ส.ไปดูแลเกษตรกรเลี้ยงหมูรายเล็กและรายกลาง กว่า 1,000 ราย โดยจัดสินเชื่อให้เงินทุนเกษตรกรมาตั้งตัวในการเริ่มเลี้ยงหมูรอบใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหมูตกต่ำ ทำให้เกษตรกรรายย่อยล้มหายตายจากจำนวนมาก
ด้านนายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า นายกฯได้สั่งการให้กรมศุลกากรอำนวยความสะดวกกรมปศุสัตว์ในการนำเนื้อและชิ้นส่วนสุกร (ของกลาง) ในคดีพิเศษที่ 59/2566 จำนวน 161 ตู้ไปทำลาย ขณะที่ปัจจุบันกรมศุลกากรได้มีการดำเนินการกับตู้สินค้าประเภทตู้เก็บความเย็นที่อายัดไว้เพิ่มเติมในเขตท่าเรือแหลมฉบัง จำนวน 92 ตู้ โดยได้เปิดสำรวจเรียบร้อยแล้ว พบเป็นเนื้อและเครื่องในสุกรจากประเทศบราซิล เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ จำนวน 13 ตู้ น้ำหนักรวม 343,070.23 กิโลกรัม นอกจากนี้ ยังมีสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น ชิ้นส่วนไก่ เนื้อและเครื่องในโคกระบือ จำนวน 79 ตู้ น้ำหนักรวม 2,216,598.81 กิโลกรัม ซึ่งกรมศุลกากรจะดำเนินการประสานกับกรมปศุสัตว์เพื่อส่งมอบและนำไปทำลายต่อไป
“นายกฯได้มีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และให้พนักงานสอบสวนส่งให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่ออายัดทรัพย์สินผู้กระทำความผิดต่อไป”.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่