
วันสุดท้ายส่งท้ายปลายปี ถึงเวลาที่ “ทีมเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ” ขอทำหน้าที่ มองเหลียวหลังแลหน้าเศรษฐกิจไทยในปีงูที่ผ่านมา รวมทั้งเสาะหารวบรวม “แนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจไทย” ปีใหม่ 2569 ที่จะเข้ามาในอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงจากนี้ เพื่อเป็นคู่มือให้คนไทยและธุรกิจไทยวางแผนอนาคตในปีหน้า
สิ้นสุดปี 2568 “หน่วยงานวิเคราะห์วิจัยเศรษฐกิจ” ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน ประมาณ 2% ส่งผลให้ไทยกลายเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำที่สุดในอาเซียน มูลค่ารวมของเศรษฐกิจตกลงมาเป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม จากเดิมที่เราครองที่ 2 มายาวนาน แต่ถูกสิงคโปร์แซงขึ้นมาเป็นอันดับ 2 และไทยยังมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นที่ 4 และที่ 5 ของกลุ่มได้ หากถูกเวียดนามและฟิลิปปินส์แซงในอีก 5 ปีข้างหน้า
ย้อนกลับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งอยากนิยามว่าเป็น “ปีงูร้าย” เพราะมีเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจของไทยมาตั้งแต่เดือนแรก และ “ช็อก” ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงเดือนสุดท้ายของปี!!
เริ่มจาก การหลอกลักพาตัวดาราจีน “ซิง ซิง” จากสนามบินสุวรรณภูมิไปเป็นสแกมเมอร์ในประเทศเมียนมา ตอกย้ำความรู้สึกไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยลดลงมากในช่วงนั้น และลดลงต่อเนื่องทั้งปี สิ้นปีนี้คาดว่านักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยปีนี้จะเหลือเพียง 4-6 ล้านคน จาก 11 ล้านคนในปีก่อนหน้า
ต่อด้วยเหตุการณ์ “แผ่นดินไหว” ซึ่งรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงกรุงเทพฯ ส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างพังถล่มลงราบเป็นหน้ากลองคนเสียชีวิตจำนวนมาก ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของระบบราชการไทยและซ้ำเติมความไม่ปลอดภัยในการท่องเที่ยว
อีกเหตุการณ์ภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยมหาศาล คือ “มหาอุทกภัย” ซึ่งปีนี้คนไทยต้องเผชิญกับน้ำท่วมใหญ่ในทุกภูมิภาค ตั้งแต่เหนือ อีสาน ภาคกลางจดภาคใต้ และล่าสุดน้ำท่วมใหญ่ที่ อ.หาดใหญ่ ซึ่งกำลังรอเงินเยียวยาและการฟื้นฟู โดยคาดการณ์ว่า ความเสียหายจากน้ำท่วมในปีนี้มากกว่า 100,000 ล้านบาท
อีกแรงสั่นสะเทือนที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือ “ภาษีทรัมป์” ซึ่งหลังจากเลื่อนไปหลายระลอก สหรัฐฯ ก็เริ่มจัดเก็บภาษีตอบโต้ฯกับสินค้าไทยในอัตรา 19% ตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผลจากการเริ่มจัดเก็บภาษีตอบโต้ที่ช้ากว่ากำหนดเดิม กลายเป็นโอกาสเร่งส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯของผู้ส่งออกไทย ส่งผลให้การส่งออกไปสหรัฐฯในปีนี้โตสูงกว่า 20% แต่ผลกระทบจากภาษีทรัมป์จะเพิ่มขึ้น และกลายเป็นปัญหาใหญ่กับเศรษฐกิจไทยในปีใหม่ที่จะถึงนี้
จากครึ่งปีแรกสู่ช่วงครึ่งปีหลัง “ความขัดแย้ง และการสู้รบในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา” กลายเป็นอีกแรงสั่นสะเทือนกระทบการค้าชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา รวมทั้งผู้ประกอบการไทยในกัมพูชา และคาดว่าการเปิดด่านการค้าชายแดน จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าประเทศไทยจะเชื่อมั่นว่ากัมพูชาจะไม่เป็นปรปักษ์อีกต่อไป
และสุดท้ายปลายปี ในที่สุด “ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง” ซึ่งมาจากการเล่นเกมการเมืองทั้งในระบบและนอกระบบที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมากถึง 3 คนในปีเดียว และสุดท้าย รัฐบาล “อนุทิน” ได้ประกาศยุบสภาในวันที่ 11 ธ.ค.68 คืนอำนาจล้างไพ่เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งครั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม ปีงูร้ายกำลังจะผ่านไป ส่งต่อเศรษฐกิจไทยให้ปีม้า ซึ่งจากการรวบรวมความคิดเห็นของหน่วยงานวิเคราะห์วิจัยฯ “คนไทยจะยังเจอเรื่องหนักๆ และเป็นปีม้าที่เราต้องเหนื่อยยากต่อไปกันอีกปี”
โดยคาดว่าเศรษฐกิจปี 2569 จะเป็นปีแรกในรอบ 30 ปี ที่ประเทศไทยจะขยายตัวต่ำกว่า 2% โดยไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ปีม้าเหนื่อยของเราจะวิ่งช้าๆ โตเฉลี่ยเพียง 1.6% และที่น่าเป็นห่วง คือ อาการดังกล่าวชี้ว่า ประเทศไทยของเรากำลังเข้าสู่ “ยุคเศรษฐกิจโตต่ำ” และเสี่ยงที่จะกลายเป็น “คนไข้” คนใหม่ของเอเชีย
ความท้าทายแรกที่เราต้องเผชิญ มาจากผลของเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ มูลค่าการค้าโลกชะลอตัว สงครามการค้ากระทบการส่งออกของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไปสหรัฐฯในอัตรา 19% ที่ปีนี้เราจะถูกเก็บเต็มๆปี ขณะที่ผลดีจากการเร่งส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมาจบลงและยังต้องระวังว่าสหรัฐฯจะเก็บภาษี Transshipment และภาษีรายสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่ ท่ามกลางการเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้คาดว่าการส่งออกปีหน้าจะขยายตัว ติดลบ หรือบวกได้ก็ไม่ถึง 1%
ในฝั่งการนำเข้า ผลจากการไหลบ่าของสินค้า ราคาถูกจากจีนที่เข้ามาขายในไทย ส่งผลให้ การส่งออกของจีนมาไทยในช่วง 10 เดือนของปีนี้ โตขึ้นประมาณ 20% กระทบรุนแรงต่อผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี และในปีหน้าเราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น
ส่วนสถานการณ์การท่องเที่ยว และภาคบริการ ข่าวดี คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยจะเพิ่มขึ้นท่ามกลางประเด็น “ความปลอดภัยและการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา” ที่ยังเป็นเรื่องเปราะบาง และต้องสร้างความเชื่อมั่น นอกจากนั้น สงครามการแย่งนักท่องเที่ยวของประเทศคู่แข่งของไทยยังคงรุนแรง ทำให้เราต้องสู้อย่างเต็มที่เพื่อกระชับพื้นที่ในการเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้กลับคืนมา
เมื่อฝั่งคนค้าขายและท่องเที่ยวต้องเจอปัญหา แล้วฝั่งคนซื้อจะเป็นอย่างไร มีคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายจะชะลอตัวลงเช่นกัน โดยเฉพาะในครึ่งปีแรก หลังแรงกระตุ้นจากมาตรการคนละครึ่ง เที่ยวดีมีคืนจบลง และรัฐบาลรักษาการไม่สามารถออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย หรือตัดสินใจโครงการลงทุนขนาดใหญ่ได้
ยิ่งมีการคาดหมายกันว่า จะไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจจะล่าช้า ก็จะมีผลต่อเนื่องไปถึงงบประมาณรายจ่ายในปีต่อไป และนโยบายที่สำคัญๆ ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในครึ่งปีหลังด้วย
ขณะเดียวกัน ความเสียหายจากน้ำท่วมหาดใหญ่ในช่วงปลายปีนี้ จะกระทบต่อเนื่องไปถึงกำลังซื้อและการใช้จ่ายในไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า ขณะที่ปัญหาที่สำคัญที่สุดที่บั่นทอนการใช้จ่ายตลอดมา คือ คนไทยมีหนี้ครัวเรือนในอัตราที่สูงมาก สวนทางกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นช้า ขณะที่สถาบันการเงินยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ทำให้คนไทยหลายคนกำลังประสบปัญหาการเงินตึงตัว ขาดความสามารถที่จะใช้จ่าย แม้ความต้องการใช้จะเพิ่มขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ นอกจาก “ปัจจัยเฉพาะหน้า” ที่ต้องฟันฝ่าแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่ “นักเศรษฐศาสตร์” ทุกค่ายเห็นตรงกันว่า เป็น “ตัวปัญหา” ที่ทำให้อัตราการเติบโตของไทยสาละวันเตี้ยลงทุกปี คือ การสะสมปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้เราเสียความสามารถและขีดการแข่งขันในการผลิตและการค้า ส่งผลให้ทุกเครื่องยนต์การเติบโต “อ่อนแอ” และ “ถดถอย”
ไอเอ็มเอฟระบุว่า ตัวเลขการลงทุนรวมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยดิ่งลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2540 การลงทุนที่ลดลงกว่าเดิม 5 เท่า ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ช้าลงถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงกว่า 20 ปีก่อนหน้า “อุตสาหกรรมยุคเก่า” ที่เคยเป็นกำลังหลักของไทยอยู่ในภาวะแก่เฒ่าไม่ทันสมัย เช่นเดียวกับภาคสังคม-แรงงานของไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์แบบ ส่งผลให้ผลิตภาพของเศรษฐกิจไทยลดลงต่อเนื่อง
และหากเราไม่สามารถทะลุผ่าน “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” นี้ไปให้ได้ เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะ “ถดถอย” หรือที่เรียกว่า “เผาจริง” ในเวลาอีกไม่นานนี้
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มเม็ดเงินลงทุนอย่างเดียว ไม่สามารถยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ดังนั้น เราจะต้องมีแผน ต้องเลือกลงทุน และมีเป้าหมายที่ชัดเจนในช่วงเปลี่ยนผ่านว่า เราต้องการ “ติดปีก” ภาคส่วนใดให้กลายเป็น “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ซึ่งต้องทำไปพร้อมๆกับการเร่งลดอุปสรรค กฎเกณฑ์ กฎหมายที่ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศ หรือในประเทศยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งเท่าที่ผ่านมา กระบวนการกิโยตีนกฎเกณฑ์เดินหน้าได้ช้ามาก
แต่ในความมืด ย่อมยังมีแสงส่องสว่าง หากทุกหน่วยงานร่วมใจกัน เราก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมาแข่งขัน “ชิงมง” ใหญ่ๆในเวทีโลกได้ เพราะมีบทวิจัยชี้ว่า หากไทยสามารถลงทุนปรับการผลิตไปสู่การใช้นวัตกรรมให้สอดรับกับโครงสร้างแรงงานที่เปลี่ยนไปตามสังคมสูงวัย เร่งพัฒนาทักษะแรงงานแบบ Right Re-Skill & Up-skill สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันตามแนวทาง Reinvent Thailand ยกระดับ 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายตั้งต้น ได้แก่ Agri & Food Processing, Automotive, Smart Electronics, Medical & Wellness, Tourism และ Retail & Trading
ซึ่งครอบคลุมผู้ประกอบการราว 240,000 ราย มีการจ้างงานมากกว่า 10.6 ล้านคน และสร้างรายได้ต่อปีรวมกว่า 38 ล้านล้านบาท จะช่วยสร้างผลตอบแทนให้เรากลับมามีอัตราการเติบโตเทียบเท่ากับในช่วง 10 ปีก่อนเกิดโควิด-19 (ปี 2553-2562) และยังสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของจีดีพีระยะข้างหน้าได้อีก 0.2-0.4% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า “การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง” ให้สำเร็จนั้น จะต้องใช้เวลายาวนาน จึงใช้เป็น “แผนระยะสั้น” เพื่อฟื้นเศรษฐกิจฉุกเฉินไม่ได้ “ทีมเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ” จึงได้เฟ้นหา “ตัวช่วย” ที่เป็นคีย์เวิร์ด หรือ “ตัวพลิกผันเกม” ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้มาให้ช่วยกันติดตาม
ตัวช่วยแรก มาจาก “มนต์ขลังของปีเลือกตั้ง” ซึ่งตามสถิติแล้วช่วงการหาเสียงเลือกตั้งทุกครั้ง จะส่งผลให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกระจายไปในภาคต่างๆ ทั้งเงินในระบบที่มาจากการรณรงค์หาเสียง การทำป้าย พิมพ์ใบแนะนำตัว จัดอีเวนต์ต่างๆ ฯลฯ รวมทั้งเงินนอกระบบที่ขับเคลื่อนด้วยหัวคะแนน ซึ่งตามปกติจะสะพัดหลักหมื่นล้านบาท แต่หากเลือกตั้งครั้งไหน “ดุเดือด” เป็นพิเศษอย่างเช่นครั้งนี้ มีการคาดว่า เงินที่สะพัดอาจจะเพิ่มมากถึง 60,000-80,000 ล้านบาท ซึ่งในทางเศรษฐกิจ เงินเหล่านี้จะเข้ามาช่วยทดแทนมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐที่หายไปในครึ่งปีแรก
และหากในทางกลับกัน เราสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว จะช่วยให้การจัดทำและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐไม่ล่าช้าอย่างที่กังวลกัน รวมทั้ง รัฐบาลใหม่น่าจะมีความพร้อมออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในทันที
ตัวช่วยที่สอง คือ “นักท่องเที่ยวจีน” ที่อาจจะกลับมาเที่ยวไทยสูงกว่าที่คาดไว้ จากความเชื่อมั่น และความนิยมที่สูงขึ้น หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐ ประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือน ธ.ค.ที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
รวมทั้ง หาก สถานการณ์การสู้รบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา และการฟื้นฟูความเสียหายจากมหาอุทกภัยทั่วประเทศในปีนี้ดีกว่าที่คาด ก็จะช่วยเพิ่มทั้งเม็ดเงินเข้าระบบ และบรรยากาศในประเทศให้ดีขึ้นด้วย
ตัวช่วยสุดท้าย ให้จับตาคำตัดสินของ Supreme Court เกี่ยวกับอำนาจของรัฐบาลทรัมป์เก็บภาษีตอบโต้ รวมทั้งความเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดีทรัมป์ที่ลดลง และอาจส่งผลต่อการเลือกตั้งกลางปี ในเดือน พ.ย.ปีหน้า หาก Democrats ได้เสียงข้างมาก จะส่งผลให้รัฐบาลทรัมป์มีปัญหา และกระทบกับ ภาษีตอบโต้ในช่วงที่ผ่านมาด้วย
สุดท้าย แม้จะยังหนักหนา แต่ถ้าถอยออกมามองในมุมที่กว้างขึ้น เราอาจจะเห็นทางแก้ที่ชัดเจนขึ้น “โอกาส” ยัง “มี” แม้ในช่วงที่แย่ที่สุด มาข้ามสู่ปีใหม่ไปด้วย “พลังใจ” และความร่วมมือร่วมใจของคนไทยที่จะเป็น “ตัวพลิกเกม” ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปีม้า “เหนื่อยน้อยลง”.
ทีมเศรษฐกิจ
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่