
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การผลิตและส่งออกสินค้ากลุ่มปลาทิลาเพียและผลิตภัณฑ์ พบว่า ไทยยังมีโอกาสส่งออกเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกมาก เพราะความต้องการบริโภคของทั่วโลกมีมาก และไทยยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดน้อย สำหรับปลาทิลาเพียเป็นปลาน้ำจืดที่เลี้ยงง่ายและโตเร็ว ปลาทิลาเพียที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ปลานิลและปลาทับทิม โดยปลานิล ไทยผลิตได้มากกว่า 200,000 ตันต่อปี ส่วนใหญ่บริโภคในประเทศ และส่งออก 5,000-10,000 ตันต่อปี ซึ่งปี 65 โลกนำเข้า 1,651.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 8 ของโลก ครองส่วนแบ่งตลาด 1.1% รองจากจีน ไต้หวัน โคลอมเบีย อินโดนีเซีย ฮอนดูรัส ฯลฯ จึงยังมีช่องให้ส่งออกได้อีกมาก
สำหรับการส่งออกปลาทิลาเพียของไทยช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปี 66 มีมูลค่า 5.11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 173.6 ล้านบาท หดตัว 28.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ปลาทิลาเพียทั้งตัวแช่เย็นจนแข็ง ตลาดส่งออก คือ สหรัฐฯและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ปลานิลทั้งตัวสดหรือแช่เย็น ตลาดส่งออก คือ กัมพูชาและเมียนมา, เนื้อปลาทิลาเพียแบบฟิลเลต์แช่เย็นจนแข็ง, ปลาทับทิมทั้งตัวสดหรือแช่เย็น ตลาดส่งออก คือ มาเลเซีย และปลาทับทิมมีชีวิต ตลาดส่งออก คือ มาเลเซีย
“ปลาทิลาเพียเป็นสินค้าที่มีศักยภาพ อีกทั้งภาครัฐมีการอบรมหลักสูตรต่างๆ เกษตรกรและผู้ประกอบการควรติดตามข้อมูลและหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย เพราะราคาส่งออกของไทยยังต่ำมาก หากเพิ่มมูลค่าจะสร้างรายได้เพิ่ม เช่น แปรรูปเป็นอาหารพร้อมรับประทาน หนังปลาสามารถแปรรูปเป็นขนมขบเคี้ยวที่มีสารคอลลาเจนให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้อีก”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่