กกพ.ชี้ไม่มีเงิน 1.2 หมื่นล้าน อุดหนุน ยืนค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค.ที่ 4.45 บาทรอรัฐบาลใหม่

Economics

Thai Economics

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

กกพ.ชี้ไม่มีเงิน 1.2 หมื่นล้าน อุดหนุน ยืนค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค.ที่ 4.45 บาทรอรัฐบาลใหม่

Date Time: 9 ส.ค. 2566 09:17 น.

Summary

กกพ.ปิดประตูตายไม่ลดค่าไฟฟ้า งวด ก.ย.–ธ.ค. เหลือ 4.25 บาทต่อหน่วย ตามข้อเสนอเอกชนย้ำขาดตัวที่ 4.45 บาทต่อหน่วยเท่านั้น ตามการรับฟังความเห็น แย้มหากต้องการลดเป็น 4.25 บาทต่อหน่วยต้องใช้งบประมาณรัฐมาอุดหนุน 12,000 ล้านบาทโยนรัฐบาลใหม่ชี้ชะตาระยะต่อไป

Latest

ทำไมการปล่อยให้ไทยเป็น “ฐานฟอกเงินโลก” กระทบชีวิตและการเงินคนไทย

กกพ.ปิดประตูตายไม่ลดค่าไฟฟ้า งวด ก.ย.–ธ.ค. เหลือ 4.25 บาทต่อหน่วย ตามข้อเสนอเอกชนย้ำขาดตัวที่ 4.45 บาทต่อหน่วยเท่านั้น ตามการรับฟังความเห็น แย้มหากต้องการลดเป็น 4.25 บาทต่อหน่วยต้องใช้งบประมาณรัฐมาอุดหนุน 12,000 ล้านบาทโยนรัฐบาลใหม่ชี้ชะตาระยะต่อไป ด้านกระทรวงพาณิชย์ลุยคุมเข้มปั๊มน้ำมันหลังพบเติมน้ำมันได้ไม่เต็มลิตร

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ โฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยถึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดสุดท้ายของปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.) ที่ได้พิจารณาหลังการเปิดรับฟังความเห็นไปแล้วใน 3 แนวทางและสุดท้าย กกพ.ได้เลือกแนวทางค่าเอฟที เรียกเก็บที่ 66.89 สตางค์ (สต.) ต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปรับลดลงจากงวดปัจจุบัน (พ.ค.-ส.ค.) จาก 4.70 บาทต่อหน่วย เหลืออยู่ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย โดยให้มีผลตั้งแต่รอบบิลเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ และยืนยันว่าไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้อีก โดยเฉพาะตามข้อเรียกร้องของภาคเอกชนที่ต้องการขอให้เฉลี่ยเหลือเป็น 4.25 บาทต่อหน่วย

“การลดค่าไฟฟ้าในช่วงงวดสุดท้ายของปีนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก หรือเป็นไปไม่ได้ แม้เอกชนเรียกร้อง เนื่องจากต้องมีกระบวนการคำนวณสูตรค่าไฟฟ้าใหม่ ต้องมีการเปิดรับฟังความคิดเห็น รวมถึงการพิจารณาต้นทุนที่เกี่ยวข้องทั้งของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หากจะปรับลดลงมาเป็น 4.25 บาท ต่อหน่วยตนมองว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีงบประมาณบางส่วน มาสนับสนุนเพราะ กกพ.ไม่มีงบประมาณมาอุดหนุน แต่ใช้วิธีการบริหารต้นทุนที่มีอยู่ในโครงสร้างมาบริหารแทน เพื่อให้เป็นภาระกับประชาชนน้อยที่สุด”

นายคมกฤช กล่าวต่อว่า หากต้องการให้ปรับลดลงในอัตราดังกล่าวจะต้องใช้เงินงบประมาณ 12,000 ล้านบาท หรือคิดง่ายๆ ว่าจะลดให้ได้ทุกๆ 1 สตางค์ต่อหน่วย จะต้องใช้เงิน 500-600 ล้าน บาท แต่จะไม่สามารถดำเนินการได้เพราะต้องรอรัฐบาลใหม่มาดำเนินการ ขณะที่ค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2567 ก็มีแนวโน้มเบื้องต้นที่ใกล้เคียงกับงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ แต่ยังมีปัจจัยต้องติดตามในแต่ละช่วงเวลานับจากนี้ไป เพราะแม้ว่าปริมาณก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยโดยเฉพาะแหล่งเอราวัณจะเพิ่มขึ้นมาเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าแต่ยังไม่เพียงพอและบางส่วนยังต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่มีราคาแพง

โดยล่าสุดราคาแอลเอ็นจีตลาดโลกเริ่มสูงขึ้นในปลายปีนี้ ก็จะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้การปรับลดค่าไฟฟ้าในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ ค่อนข้างลำบาก หากจะเปลี่ยนศูนย์การคำนวณค่าไฟฟ้าก็ต้องใช้กระบวนการอำนาจรัฐเข้ามาจัดการ อาจต้องเป็นคณะรัฐมนตรี, คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และยังต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอาจจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่ ทั้งหมดนี้ก็ต้องรอรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศก่อน และอีกปัจจัยคือการลดหนี้ กฟผ.ที่ขณะนี้ยังคงมีภาระค้างค่าเชื้อเพลิง 120,000 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มค่าไฟฟ้าตลอดทั้งปี 2567 จะยังต้องเผชิญกับหลายๆปัจจัยลบ แม้ว่าตัวเลขต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ยังคงที่คล้ายกับในงวดปัจจุบัน มีบวกลบเพียงเล็กน้อย ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติ, ปริมาณก๊าซในอ่าวไทย, แอลเอ็นจี และที่สำคัญคือ ก๊าซธรรมชาติในพม่ามีโอกาสจะหายไปหรือไม่ หากหายไปจากระบบจะมีปริมาณมากน้อยเพียงใด, การใช้ก๊าซธรรมชาติของโรงแยกก๊าซ ธรรมชาติในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น, ภาวะภัยแล้ง ที่ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนของประเทศลาวที่ประเทศไทยรับซื้อไฟฟ้าจากลาวลดน้อยลงจึงทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ไทยรับซื้อจากลาวปรับตัวสูงขึ้นและบางส่วนอาจทำให้ต้องนำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้น. ดังนั้น ปัจจัยทั้งหมดนี้จึงทำให้อัตราค่าไฟฟ้าในปีหน้ามีโอกาสจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

ด้านนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยหลังประชุมแนวทางกำกับดูแลสถานีบริการน้ำมันว่า ได้เชิญผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊มน้ำมัน) 10 รายมาหารือกำกับดูแลหัวจ่ายน้ำมัน ซึ่งทางผู้ค้าน้ำมันเองให้ความสำคัญและไม่สบายใจสำหรับกระแสที่เกิดขึ้นว่ามีประชาชนไปซื้อน้ำมันแล้วได้ไม่เต็มลิตร โดยที่ประชุมเห็นชอบให้ผู้ประกอบการเร่งตรวจสอบมาตรการของหัวจ่ายน้ำมันทั่วประเทศ 450,000 หัวจ่าย ในสถานบริการน้ำมัน 24,711 แห่ง แล้วรายงานกลับมาที่กรมการค้าภายในภายในวันที่ 11 ส.ค.66 หากพบว่ามีการกระทำความผิดจะดำเนินคดีโดยทันที โดยกรณีหัวจ่ายน้ำมันไม่ได้รับการรับรองจากกรม น้ำมันไม่เต็มลิตร หรือสิ้นอายุการรับรอง มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีผู้ค้าน้ำมันที่เป็นแฟรนไชส์ หากพบว่ามีเจตนาที่จะกระทำความผิด เจ้าของเเฟรนไชส์จะถูกยกเลิกสัญญากับผู้ให้บริการรายนั้นๆ และลงโทษผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันด้วย.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ