
นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนางสาวเนตรนภิศ จุลกนิษฐ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเฉิงตู ประเทศจีน ถึงโอกาสทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ว่า ปัจจุบันชาวจีนมีความต้องการดูแลผิวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ประเภทลดฝ้า กระ และไวเทนนิ่ง และจากรายงานแนวโน้มตลาดไวเทนนิ่ง โดย iResearch ระบุว่า ปี 64 มูลค่าตลาดเอสเซนส์ไวเทนนิ่งของจีนสูงถึง 137,500 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าปี 65-67 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง 12.7% ต่อปี และจะมีมูลค่าเกินกว่า 168,800 ล้านบาท ภายในปี 67
สำหรับผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งที่มี “ไม่ระคายเคือง และมีประสิทธิภาพดี” เป็นที่ต้องการมาก โดยส่วนผสมไวเทนนิ่งที่ได้รับความนิยม เช่น กรดผลไม้/ กรดซาลิไซลิก วิตามินซี และไนอะซินาไมด์ ขณะที่แบรนด์ต่างชาติที่ได้รับความนิยมสูง เช่น Clinique, Elizabeth Arden, Kiehl’s จากสหรัฐฯ Dr.Ci:Labo, SK-II จากญี่ปุ่น และ CLARINS จากฝรั่งเศส ส่วนผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งของไทยในตลาดจีน เช่น สเปรย์ฉีดกันแดดไวเทนนิ่ง Mistine ครีมไข่มุก Promina ครีมบำรุงผิวร่างกาย Nakiz เป็นต้น
“ตลาดไวเทนนิ่งจีน มีกลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่กลุ่มคนเจนแซดคนทำงานในเมือง และผู้บริโภคชาย 25-34 ปี ทำให้กลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น และอาจกลายเป็นตลาด Blue Ocean ใหม่ ที่ลูกค้ามีความต้องการผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผิว นอกจากผลิตภัณฑ์บนใบหน้าแล้ว ยังให้ความสำคัญกับไวเทนนิ่งตามร่างกาย เช่น ผิวกาย มือ ฟัน เป็นต้น ทำให้มีการพัฒนาในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ยังมีจำนวนน้อย เป็นโอกาสที่แบรนด์ต่างๆของไทย จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดในอนาคต”.