นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในโอกาสการเปิดตัวในฐานะประธานพรรคสร้างอนาคตไทย ถึงประเด็นเศรษฐกิจว่า ประสบมรสุมใหญ่ๆ เศรษฐกิจทุกชาติส่อถดถอย ประเทศไทยก็หนีไม่พ้น ไปที่ไหนมีแต่คนบ่น ชีวิตวันนี้ลำบาก เกษตรกรรายได้น้อย ปุ๋ยราคาแพง เงินไม่มี ทำให้หนี้ครัวเรือนสูง เพราะตอบสนองไม่ทัน คนหวั่นตกงาน ธุรกิจเอสเอ็มอี ไม่มีใครปล่อยเงินกู้ให้ ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หนักกว่าที่คิด เพราะการส่งออกเริ่มชะลอ พลังงานแพง สถานการณ์เศรษฐกิจไทยหนักกว่าที่คิด ไม่เพียงเผชิญมรสุมโลก แต่ยังอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ใครบอกว่าข้างหน้าเศรษฐกิจดีขึ้น ตนเห็นแต่ความมืดมน น่าเป็นห่วง
“เครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจอ่อนแรง บางตัวดับสนิท ที่ผ่านมาพยายามคิดจุดสนใจใหม่ๆมาช่วยแทนที่สิ่งเก่าๆ โดยเฉพาะโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่นักลงทุนจีนและญี่ปุ่นเคยยกทัพมาดู จนเกิดคณะกรรมการร่วมสองฝ่ายกับทั้งสองชาติ แต่วันนี้ไม่มีประชุมร่วมอีกเลย ห่วงว่า เมื่ออีอีซีไปอย่างช้าๆ และถ้าไม่สำเร็จนักลงทุนจะไปประเทศอื่น อุตสาหกรรมไฮเทคยกทัพไปเวียดนาม ถนนทุกสายไปอินโดนีเซีย ถ้าเราตกจอเรดาร์ การลงทุนใหม่ๆจะไม่มา นี่คือความเป็นจริงของไทย เมื่อมองไปข้างหน้า หลายอย่างลำบาก ท่องเที่ยวลำบาก ลงทุนลำบาก”
นายสมคิดกล่าวด้วยว่า ดัชนีความสามารถการแข่งขันตกฮวบ ที่ผ่านมา ประชุมหลายหน่วยงาน ไล่บี้กันทุกเดือน แต่ตอนนี้ปีเดียวหล่นมาหลายจุด โทษการเมือง ที่ไม่สามารถพาพวกเราไปถึงฝั่งได้ น่าเสียใจ น่าเสียดาย หนี้สาธารณะเกิน 60% ของจีดีพี เพราะอะไรควรหยุดกลับไม่หยุด หรือเพราะใกล้เลือกตั้ง
ดังนั้น อยากให้พรรคสร้างอนาคตไทยกอบกู้และสร้างอนาคตประเทศ ซึ่งตามที่นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค ประกาศให้มีกองทุนสร้างอนาคตไทย ตนเห็นด้วยและขอให้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งช่วยเหลือคนลำบาก อย่าให้ล้มตาย โดยเฉพาะคนรากหญ้า บัตรสวัสดิการ ต้นตอเงินเฟ้อ คือ ราคาพลังงาน คนในบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รู้ดี ในอดีตได้กำไรเป็นแสนล้าน ทำไมไม่เอามาช่วยให้คนสบายขึ้น ลดค่าการกลั่นและค่าการตลาด ส่วนกองที่สอง ปฏิรูปภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล ให้คนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตราคาถูก.