นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “มาตรการ EV ขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าแห่งเอเชีย” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ และฐานเศรษฐกิจ ว่า ในเดือน ก.ค.จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เพื่อติดตามความก้าวหน้าในเรื่องการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ รวมทั้งการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนสถานีชาร์จรถยนต์อีวี โดยมีการสนับสนุนทั้งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม หลังจากที่มีมาตรการส่วนลดการซื้อและมาตรการทางภาษีที่สนับสนุนตลาดรถยนต์อีวีไปแล้ว โดยเฉพาะในสถานการณ์น้ำมันราคาแพงทำให้ผู้ใช้รถตัดสินใจเร็วขึ้นในการซื้อรถยนต์อีวี เห็นจากงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ผ่านมามีคำสั่งซื้อถึง 12,000 คัน ซึ่งตัวเลขนี้ในประเทศญี่ปุ่นต้องขายทั้งปีถึงจะได้
“รถยนต์อีวีเปรียบเทียบแล้วใช้พลังงานน้อยและมีค่าใช้จ่ายแค่ไม่ถึง 1 บาทต่อลิตร เชื่อว่าเมื่อราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ตลาดรถยนต์อีวีจะได้รับความสนใจมากขึ้นอีก และใน 8 ปีข้างหน้า การผลิตจะอยู่ที่ 725,000 คัน ตามแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศภายในปี 2030 เราสามารถพึ่งพาพลังงานในประเทศได้มากขึ้น โดยไม่เกิดปัญหาจากราคาน้ำมันที่ผันผวนเหมือนในปัจจุบัน”
นอกจากนี้ ในช่วง 5 ปีจากนี้จะช่วยส่งเสริมระบบนิเวศของรถยนต์อีวี และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องรวมทั้งการสร้างงานจำนวนมาก โดยรัฐบาลจะเร่งเชิญชวนให้มีการลงทุนอื่นๆในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น เซลล์เชื้อเพลิง สถานีประจุไฟฟ้า และสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีการต่อเนื่องในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อีกมาก
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กล่าวว่า ขณะนี้มีค่ายรถยนต์อีกประมาณ 5-6 รายที่สนใจเข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์อีวี หลังจากที่เราได้ร่วมลงนามความตกลงรับการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีจากรัฐบาลกับผู้ประกอบการรถยนต์ไปแล้ว 4 ราย ซึ่งประกอบด้วย ค่ายเกรทวอลล์ ค่ายเอ็มจี ค่ายโตโยต้า และค่ายเดโกกรีน ปัจจุบันมียอดจองทั้งหมด 11,400 คัน ประกอบด้วยรถที่อยู่ในโครงการ 10,800 คัน และรถที่ไม่ได้อยู่ในโครงการอีก 659 คัน
“รัฐบาลมอบหมายให้กรมสรรพสามิต หารือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เกี่ยวกับงบประมาณในอีก 3 ปีถัดไป หรือนับตั้งแต่ปี 2566-2568 ซึ่งนโยบายเบื้องต้นให้ตั้งงบประมาณไว้ 40,000 ล้านบาท จากปีแรกคือปีนี้ ได้รับจัดสรรงบประมาณราว 3,000 ล้านบาท”.