กระทรวงการคลังโดย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ออกนโยบายเก็บภาษีการขายหุ้น หรือ Financial Transaction Tax ภายในปีนี้แต่ยังไม่รู้เมื่อไหร่ ซึ่งจะว่าไปแล้วหลายรัฐบาลที่ผ่านมาก็เคยมีนโยบายที่จะเก็บภาษีรายได้จากการขายหุ้น ชักเข้าชักออก กันหลายรอบ ด้วยเหตุผลจะกระทบกับเศรษฐกิจและการลงทุน
มาถึงรัฐบาลชุดนี้ กำลังเข้าตาจนทางเศรษฐกิจ ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านคือ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย แถมยังสร้างหนี้สินเอาไว้รุงรัง ถ้าเป็นภาคเอกชนน่าจะใกล้ล้มละลาย เข้าไปทุกที รัฐวิสาหกิจระดับชาติ ที่กระทวงการคลังถือหุ้นใหญ่ ต้องขายอุปกรณ์ทำมาหากินเลี้ยงชีพ จากที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจอันดับหนึ่งของประเทศ ตกต่ำถึงขั้นต้องเข้าขั้นตอนของการล้มละลาย ถือว่าเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะย่ำแย่พอสมควร
รายได้ที่นำมาบริหารประคับประคองประเทศ ส่วนใหญ่มาจากการกู้ยืม และ ดึงจากรัฐวิสาหกิจที่มีกำไร มาบริหารประเทศ ก็ไม่ต่างอะไรจาก การนำเงินจากกระเป๋าซ้ายมาเข้ากระเป๋าขวาไม่ใช่เป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นไปตามกลไกแบบสมดุล
เหตุผลที่ กระทรวงการคลัง อ้างในการเก็บภาษีขายหุ้นคือ รัฐได้มีการยกเว้นการเก็บภาษีการขายหุ้นมานานกว่า 30 ปีแล้ว และภาครัฐยังต้องแบกรับภาระให้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยได้มีการแจ้งให้ตลาดได้รับทราบเรื่องนี้ล่วงหน้าไปแล้ว
หลักการจัดเก็บก็คือจะยึดหลักการเดิม เก็บจากยอดขายในอัตรา 0.1 โดยจัดเก็บเป็นรายเดือน ซึ่งโบรกเกอร์จะเป็นผู้ส่งยอดการขายมาให้กรมสรรพากร การเก็บภาษีการขายไม่แยกว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ เก็บเท่ากันหมด นั่นหมายถึงว่า การขายหุ้นจะมีกำไรหรือขาดทุนก็ต้องเสียภาษีเหมือนกัน
นอกจากนี้ก็ยังจะ เก็บภาษีที่ดิน ทุกประเภท ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ กฎหมายกำหนดเต็มอัตราไว้เท่าไหร่ก็เก็บเท่านั้น รวมทั้ง การเพิ่มเป้าหมายการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ เพิ่มอีกร้อยละ 5 ประเมินว่า รัฐจะเก็บภาษีได้เพิ่มหลักหมื่นล้านต่อปี
ที่กำลังจับตาคือการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจ อีเซอร์วิส ในแพลตฟอร์มต่างประเทศ ที่ประเทศอื่นนำร่องเก็บภาษีไปแล้ว น่าจะรวมกับภาษีรายได้จากธุรกิจออนไลน์ ขายตรง ทั้งหลายด้วย ภาษีน้ำตาล ภาษีความเค็มก็เก็บแล้ว ที่กำลังศึกษา เช่น ภาษีโซเดียม ที่ทางกรมสรรพสามิตกำลังหารือกับกระทรวงสาธารณสุขอยู่
การเก็บภาษีการขายหุ้นในต่างประเทศก็มีการจัดเก็บเป็นปกติ เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซียก็มีการเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ เช่น เก็บเป็นค่าอากรแสตมป์การซื้อขาย หรือคำนวณจากกำไรการขายหุ้น เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง การมาขูดเลือดกับปู หรือการถอนขนห่านครั้งใหญ่ของกระทรวงการคลังจะเหมาะสมหรือไม่ หรือจะมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน เป็นกรณีศึกษาที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะจะกลายเป็นดาบสองคมในการฟื้นฟูและการเจริญเติบโตของธุรกิจได้เช่นกัน
แต่ที่รัฐไม่พูดถึงคือ การรั่วไหลในการจัดเก็บภาษี ว่ากันว่า ภาษีน้ำเมาบางประเภท มีการรั่วไหลปีละไม่น้อยกว่า 3-4 พันล้าน เอาแค่เริ่มเดินเครื่องการผลิตก็บานตะไทแล้ว อย่างนี้ถึงต้องเรียกว่ามารีดเลือดเอากับปู.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th