
ตลาดหลักทรัพย์ฯ โชว์ยอดเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น กลุ่มนิวเจนคนรุ่นใหม่ โตกระโดดมากกว่าเท่าตัว 2 ปีติดต่อกัน ล่าสุดแค่ 9 เดือนปี 64 มียอดเปิดพอร์ตหน้าใหม่ 2.8 แสนบัญชี เป็นนิวเจนร่วม 80% เปิดงานวิจัยกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน สอดรับความต้องการกลุ่มนิวเจน
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คนรุ่นใหม่ สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เห็นได้จากยอดเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวต่อเนื่อง 2 ปีติดต่อกัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ (นิวเจน) คือ คนเจน Y และเจน Z
โดยจากตัวเลขการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น (พอร์ต) ใหม่ระหว่างปี 2560-2562 หากเจาะเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่เคยเปิดพอร์ตมาก่อน (ดูตามเลขบัตรประชาชน) มียอดเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 50,000 คน และปี 2563 เพิ่มขึ้นพรวดกว่า 120,000 คน และปีที่ผ่านมา เฉพาะแค่ 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) เพิ่มอีก 280,000 คน หรือเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ในจำนวนนี้พบว่าเป็นกลุ่ม GEN Y มากถึง 61% และ GEN Z 17% เรียกได้ว่านักลงทุนหน้าใหม่ที่เข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น เป็นกลุ่มนิวเจนมีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 78% และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง “GEN Y-GEN Z” เสริมแกร่งตลาดหุ้น
“แม้ภาพใหญ่ของตลาดหลักทรัพย์ฯจะขยายตัวเติบโตขึ้นในทุกมิติ โดยยอดเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่น ปี 2563 มีการเปิดพอร์ตใหม่รวม 747,063 บัญชี และปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอีก 1,707,122 บัญชี ทำให้ล่าสุดมีพอร์ตซื้อขายหุ้นของบุคคลธรรมดารวมกัน 5,221,119 บัญชี หรือ 2,160,622 คน (1 คนอาจมีมากกว่า 1 บัญชี) ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ มูลค่าการระดมทุนของภาคธุรกิจก็สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน สะท้อนว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เข้ามามากขึ้น แม้ว่าเม็ดเงินจะน้อยกว่ากลุ่ม Gen X แต่ในอนาคตกลุ่ม GEN Y จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญ และ GEN Z ก็จะตามมา”
นายศรพล ยังได้เปิดผลงานวิจัยที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาพฤติกรรมเชิงลึก และไลฟ์สไตล์ทางการเงินของคนรุ่นใหม่ พบว่าให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงิน และการออมในระดับสูง และมีการมองหารายได้อื่นเสริม นอกเหนือจากงานประจำอยู่เสมอ ทั้งการทำธุรกิจและการลงทุนในตลาดทุน
“หากแบ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18-39 ปี เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วไป และคนออนไลน์ที่ใกล้ชิดกับบริการของ SET (Insights) เช่น เคยหาความรู้เรื่องการลงทุนจากช่องทางออนไลน์ 2 กลุ่มนี้มีพฤติกรรม และทัศนคติเรื่องความเสี่ยงแตกต่างกัน กลุ่มคนทั่วไปหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่สูงขึ้น แม้มีโอกาสได้กำไรสูงขึ้น กลัวที่จะลงทุนหากไม่มีความพร้อมทางการเงิน หรือเห็นความล้มเหลวของคนอื่น แต่กลุ่ม Insights มีความพร้อมลงทุนมากที่สุด”
เด็กยุคใหม่กล้าเสี่ยง-พร้อมซื้อหุ้นระดับโลก ขณะเดียวกัน ยังพบว่ากลุ่มที่เคยลงทุนในตลาดหุ้น อยากลงทุนในตลาดทุนมากกว่า ลงทุนลงมือทำธุรกิจ กลุ่มนี้มีความพร้อมตัดสินใจด้วยตนเอง มีความมั่นใจสูง ใส่ใจวางแผนการลงทุน มีการออมและลงทุนสม่ำเสมอ และจะผ่านการอบรมคอร์สระยะสั้นเรื่องลงทุน หรือศึกษาต่อ ก่อนเข้าลงทุนในตลาดหุ้นและมองหาทางเลือกการลงทุนเพิ่ม เช่น ต้องการซื้อหุ้นต่างประเทศ หุ้นระดับโลก เช่น แอปเปิล หรือเทสลา และลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล หารายได้เสริมจากงานประจำ เช่น เป็นบล็อกเกอร์ รับพรีออเดอร์สินค้า
ส่วนกลุ่มที่ไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้น มองการลงทุนเป็นเรื่องการสร้างธุรกิจ เป็นเจ้าของกิจการ มากกว่าลงทุนในตลาดทุนมีความรู้ด้านการเงินระดับหนึ่ง แต่ต้องการมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำมากกว่าตัดสินใจด้วยตนเอง ส่วนใหญ่ยังเน้นออมเงินเป็นหลัก และลงทุนซื้อประกันชีวิต แล้วจึงค่อยๆ ขยับมาที่ตลาดทุนบ้าง แต่ยังมีน้อย
ข้อมูลผลงานวิจัยนี้ สอดคล้องกับนโยบายตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ลงทุน โดยออกผลิตภัณฑ์เพื่อให้นักลงทุนกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ เพื่อเพิ่มโอกาสหาผลตอบแทน ทั้งการออก ETF (Exchange Traded Fund) กองทุนรวมดัชนี ที่อ้างอิงดัชนีและสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้ง DR (Depositary Receipt) ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนไทยซื้อขายหุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ ผ่าน ETF และ DR ด้วยบัญชีซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ยังเตรียมเปิดศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (TDX) เปิดให้สินทรัพย์ดิจิทัลซื้อขายได้ ยกเว้นคริปโตเคอร์เรนซีตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดแผนรุกเต็มสปีดสำหรับแนวทางกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วไป นอกจากการส่งเสริมความรู้ทางออนไลน์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็ต้องพิจารณาว่าจะมีผลิตภัณฑ์อะไรที่ทำให้คนกลุ่มนี้เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้เข้ามาใช้ตลาดทุนเป็นแหล่งการออมเพื่อเกษียณ ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจพื้นฐาน ด้านการเงินและการลงทุน โดยพบว่ามีผู้สนใจเข้าร่วมอบรมออนไลน์กับตลาดหลักทรัพย์ฯเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ปีที่ผ่านมาผู้เข้าร่วม SET e-learning 2.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 275% จากปี 2563 ที่มีเพียง 500,000 คน ส่วนยอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Happy Money สะสมที่ 220,000 บัญชี เฉพาะปีที่ผ่านมาโตถึง 100%
ขณะที่แผนงานในปีนี้ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากการเพิ่มจำนวนนักลงทุน คุณภาพในตลาดหลักทรัพย์ฯและเพิ่มโอกาสทางเลือกในการลงทุนผ่านตลาดหุ้นไทยแล้ว ในฝั่งของบริษัทจดทะเบียนจะผลักดันบริษัทเป้าหมาย ที่เป็น New economy และธุรกิจที่เป็น New S curve ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เข้ามาระดมทุนมากขึ้น รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอี และสตาร์ตอัพ ให้มีช่องทางการระดมทุนเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งก็เป็นที่มาของตลาดหุ้นแห่งที่ 3 LiVE Platform รองรับหุ้นเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัพ นอกจากนี้ยังเดินหน้าส่งเสริมผลักดันยกระดับเรื่องความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทยสู่มาตรฐานโลก ซึ่งพบว่าไม่เพียงแต่นักลงทุนสถาบัน ทั้งในและต่างประเทศเท่านั้น นักลงทุนรายย่อยก็ให้ความสำคัญกับบริษัทที่ทำธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนมากขึ้น.