เศรษฐา ทวีสิน สนับสนุนแนวคิดว่าผู้ว่าแบงก์ชาติกู้เงินอีก 1 ล้านล้าน อัดสภาพคล่องเข้าระบบแก้หลุมลึกเศรษฐกิจไทย
เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 64 นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า หากย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 63 ก่อนที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันขึ้นดำรงตำแหน่ง (ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ)
ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของผู้ว่า ธปท. คนก่อน (ดร.วิรไท สันติประภพ) พูดถึงความกดดันในการตัดสินใจเชิงนโยบายของ ธปท. ที่ท่านบอกว่า "เป็นเรื่องที่นักธนาคารกลางต้องเผชิญตลอด" เพราะมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ต่างวาระกันไป รวมถึงการเห็นแย้งกันระหว่างฝั่งของรัฐบาลกับ ธปท. ว่าเป็นเรื่องปกติที่แม้สองฝ่ายจะมีเจตนาดีทั้งคู่ แต่ย่อมมีความขัดแย้งกันบนบทบาทของตัวเองเป็นที่ตั้ง
เพราะนักการเมืองที่มีวาระแค่ 4 ปี ในการบริหารประเทศต้องการสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ในขณะที่ ธปท. มีหน้าที่กำหนด ควบคุม กำกับนโยบายการเงินเพื่อสร้างเสถียรภาพระยะยาว
ในสถานการณ์ปกติก็ว่ากันไป เพราะเรามีเวลา วิเคราะห์ ชั่งน้ำหนักให้เหตุผล และถกเถียงกันได้นาน แต่ในสถานการณ์โควิดที่เราไม่เคยเจอมาก่อนและยังไม่เห็นทางสว่างปลายอุโมงค์
นี่เป็นวิกฤติเปลี่ยนโลกที่ทุกฝ่ายต้องตัดสินใจให้รวดเร็วแม้จะวิเคราะห์ผลได้ผลเสียไม่ครบ 100% รวมถึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์ของการตัดสินใจนั้นๆ ให้ได้ แม้ผลจะออกอย่างที่เราคาดหรือไม่ก็ตาม
วิกฤติครั้งนี้เราได้เห็นหลายตัวอย่างของธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่ออกมาดำเนินบทบาทเชิงรุกอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งผมคิดว่าคงได้บทเรียนจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ช่วง 2008-2009 ที่ถูกตำหนิว่า ขยับตัวช้าจนเกินการณ์ มีการควักเครื่องมือต่างๆ ออกมาสนับสนุนสถาบันการเงินมากมายเพื่อให้พวกเขาสามารถประคองธุรกิจเล็กใหญ่ให้รอดพ้นสถานการณ์ไปได้
มีการแทรกแซงนโยบายทางการเงิน มีการเลื่อนใช้ข้อบังคับบางประการออกไปก่อน หรือแม้กระทั่งการผ่อนคลายความคาดหวังมาตรการทางบัญชีบางอย่าง กระสุนทุกอย่างถูกนำมาใช้หมด ณ ตอนนี้
อย่างเรื่องของการปรับเพดานดอกเบี้ย มองย้อนไปช่วงปีที่แล้ว ช่วงที่หลายๆ ประเทศเจอโควิดหนักๆ ธนาคารกลางหลายแห่งลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำเป็นพิเศษ หลายประเทศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนติดขอบล่าง และใช้มาตรการทางการเงินพิเศษ เพื่อผ่อนคลายต้นทุนการกู้ยืมเงิน ช่วยบรรเทาพิษโควิดต่อเศรษฐกิจ
ดูอย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.50 - 1.75% ลงมาอย่างรวดเร็วจนเหลือ 0-0.25% ภายในเดือน มี.ค. 63 ทันทีที่เห็นว่าสถานการณ์โควิดเริ่มระบาดรุนแรงเมื่อต้นปีที่แล้วเป็นตัวอย่าง พร้อมกับออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเกือบ 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่มีการอัดแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 2.3 ล้านล้านเหรียญไปพร้อมๆ กัน
ในขณะที่ประเทศไทยเองมีเสียงเรียกร้องมาโดยตลอดว่าให้ปรับดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อลดภาระของผู้กู้ แต่ทาง ธปท. ก็ยังยืนกรานว่าต้องมองอย่างรอบด้าน แม้ประชุมล่าสุด กนง. เองเริ่มเสียงแตก 2 ใน 7 ว่าอยากให้ลดดอกเบี้ยแล้ว แต่เสียงส่วนน้อยยังแพ้ส่วนมาก กว่าจะได้ลุ้นประชุมครั้งต่อไปเรื่องปรับดอกเบี้ย เงินก็ออกจากกระเป๋าคนไปอีกเท่าไรแล้ว
แต่ก็ยังมีความหวังครับที่ได้เห็นผู้ว่า ธปท. คนปัจจุบันออกมาพูดชี้นำเมื่อกลางเดือน ถือว่าได้ใจผมพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของการแนะว่ารัฐบาลควรต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อใส่เข้าในระบบอีกอย่างต่ำ 1 ล้านล้านบาท เพื่อเร่งกลบหลุมรายได้ที่จะหายไป
โดยท่านก็ได้ให้เหตุผลเพื่อคลายความกังวลไว้ชัดเจนว่า "การกู้เงินเพิ่มเติมของภาครัฐจะช่วยให้ GDP กลับมาโตใกล้ศักยภาพเร็วขึ้น และจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระยะยาวปรับลดลงได้เร็วกว่ากรณีที่รัฐบาลไม่ได้กู้เงินเพิ่ม" ซึ่งก็เป็นการตอกย้ำกับหลายๆ เสียงรวมผมเองด้วยที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้
และที่ช่วยเป็นการสร้างความหวังให้กับผู้ประกอบการทั้งหลาย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญอีกอย่างก็คือมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตัดภาระผ่อนชำระหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกันชั่วคราว คาดว่าส่วนใหญ่จะเป็นกิจการโรงแรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจท่องเที่ยวอุตสาหกรรมหลักของ GDP ไทยที่โดนอย่างจัง
รวมถึงกิจการอื่นๆ เช่น โรงงาน ร้านอาหาร รวมทั้งมาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน ที่เป็นการช่วยเหลือเร่งด่วนเฉพาะหน้าสำหรับลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์
ท่านผู้ว่า ธปท. ได้ทิ้งท้ายไว้ถึงมาตรการก๊อกสองที่ออกมาแล้วน่าจะช่วยได้จริง อย่างคอนเซ็ปต์ "ลูกหนี้สบายตัว เจ้าหนี้สบายใจ" ที่จะปรับภาระการจ่ายหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ต่ำลงมาก รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อดูแลลูกหนี้ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วให้ทันการณ์ ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งที่ตั้งตารอว่าแอ็กชั่นแพลนที่ชัดเจนจะออกมาเมื่อไหร่ ก็หวังว่าคงไม่ช้าเกินการณ์เหมือนกรณีการปรับเพดานดอกเบี้ยนะครับ
อย่างที่บอก ผมว่าเป็นเรื่องดีมากๆ ที่เห็นท่านผู้ว่า ธปท. ออกมาพูด นำเสนอ และชี้นำ แนวคิดใหม่ๆ เพื่อช่วยกันผลักดันมาตรการต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจองค์รวม ท่านเป็นหนึ่งเสียงที่มีน้ำหนักพอที่รัฐบาลควรจะให้ความสนใจรับฟัง และนำไปพิจารณา
แต่ขอฝากไว้อีกนิดเดียวครับ นโยบายการเงินที่ ธปท. ดูแลก็อยากให้มีการตัดสินใจที่รวดเร็ว ฉับไว เกิดเป็นแอ็กชั่นได้ทันที รวมถึงการชี้นำแอ็กชั่นของรัฐบาลในด้านนโยบายการคลังอยากให้ท่านจี้ลงรายละเอียด แนะนำแอ็กชั่นในมุมของท่านเลย ตอนนี้เราอยู่ในสงครามแล้ว ผมคิดว่าไม่มีทางเลือก ต้องถือเป็นหน้าที่และบทบาทของ ธปท. ที่จะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างนโยบายการเงินและการคลัง เพราะทั้งสองเรื่องเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ขาด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง