
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า มีแนวโน้มที่จะขยายกรอบการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ต่อไปอีก 3 เดือน หรือจนถึงสิ้นเดือนธ.ค.นี้ หลังจากที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติให้ขยายเวลาตรึงราคา ไว้เท่าเดิมที่ 318 บาทต่อขนาดถังละ 15 กิโลกรัม (กก.) ไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อดูแลผลกระทบประชาชนจากวิกฤติโควิด-19 ขณะที่กองทุนน้ำมันก็ต้องขยายกรอบวงเงินในการอุดหนุนราคาจากเดิมไม่เกิน 18,000 ล้านบาท ให้เพิ่มเป็น 22,000 ล้านบาท
ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ที่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ปรับขึ้น 0.93 บาทต่อ กก. ส่งผลให้ราคาขายปลีกเขตกรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 15.48 บาทต่อ กก. ยอมรับว่าเป็นราคาผันแปรตามราคาต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ขยับขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งกระทบต่อผู้ใช้ เอ็นจีวี ดังนั้น สนพ.จึงได้หารือกับ ปตท.ถึงการหาแนวทางช่วยเหลือผู้ใช้ โดยเฉพาะกรณีที่สมาคมแท็กซี่ต้องการให้ลดราคาเหลือ 10 บาทต่อ กก. จะเป็นไปได้หรือไม่ โดยจากการสำรวจพบว่าต้นทุนหลักๆของแท็กซี่มาจากค่าเช่ามากกว่าค่าเชื้อเพลิง จึงจะได้หารือกับกรมการขนส่งทางบกว่าจะเข้ามาช่วยเหลือได้อย่างไรอีกทางหนึ่ง และขณะนี้ภาพรวมการใช้เอ็นจีวีก็มีปริมาณที่ลดลง
“แนวโน้มการใช้พลังงานของประเทศไทยในปีนี้ โดยอ้างอิงสมมติฐานตัวเลขเศรษฐกิจจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7-1.2% และคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 62-72 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้การใช้พลังงานทุกชนิดของประเทศไทยอยู่ระดับ 2.01 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเพียง 0.1% ตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รอบที่ 3 แต่ยังมีการเติบโตของภาคส่งออก ที่ต้องติดตามปัจจัยต่างๆอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง”
ทั้งนี้ ราคาแอลพีจีตลาดโลก (LPG Cargo) ล่าสุดอยู่ที่ 617 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งเฉลี่ยภาพรวมปีนี้ค่อนข้างสูงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ มีอากาศหนาวกว่าปกติและยาวนานขึ้น จากผลกระทบภาวะโลกร้อน แต่ประเมินว่าราคาจะเริ่มลดลงในเดือน ก.ย.มาอยู่ที่ระดับ 657 เหรียญฯต่อตัน และหากระดับไม่เกิน 700 เหรียญฯต่อตัน กองทุนน้ำมันก็ยังมีศักยภาพดูแลราคาแอลพีจีได้ต่อไป แต่ต้องขยายกรอบวงเงินเพิ่มขึ้น.